การประกอบอาชีพอะไร เป็นไปตามการสะสมของจิต

 
ธรรมทัศนะ
วันที่  2 ส.ค. 2551
หมายเลข  9449
อ่าน  3,619
ทุกคน เกิดมาเป็นบุคคลต่างๆ กัน ย่อมมีอัธยาศัยต่างกัน สะสมมาที่จะมีอาชีพที่แตกต่างกันออกไป เป็นเรื่องของภพชาติที่ยังมีอยู่ (เพราะยังไม่ดับกิเลสทั้งหมดได้อย่างเด็ดขาด) การที่จะประกอบอาชีพอะไรนั้น จึงเป็นไปตามการสะสมของจิตของแต่ละบุคคล ไม่มีตัวตนที่จะไปเลือก แต่ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีความเข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริงว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล แล้วก็เจริญธรรมฝ่ายกุศลให้ยิ่งขึ้นเป็นผู้มีความมั่นคงในกุศลธรรม เมื่อนั้น การประกอบอาชีพที่ไม่เหมาะ ไม่ควร ก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง จนกระทั่งไม่กระทำอีกเลย เพราะเป็นผู้เห็นโทษในการกระทำอาชีพที่ไม่ควรทำเหล่านั้น

ดังนั้น จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเพื่อมีความเข้าใจถูก เห็นถูก ซึ่งความเห็นถูกนี้เอง จะเป็นปัจจัยให้เป็นผู้มีความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 2 ส.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prakaimuk.k
วันที่ 3 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
choonj
วันที่ 3 ส.ค. 2551

หัวข้อนี้น่าสนใจอ่านแล้วคิดว่าง่าย แต่จริงๆ แล้วใม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะผู้ที่สะสมอาชีพที่ไม่เหมาะซึ่งจะให้โทษภายหลังนั้น เขาก็จะมี่วิบากในวันๆ อยู่กับอาชีพนั้นในสังคมนั้น และจะมี่ปัจจัยต่างๆ สนับสนุนอาชีพนั้น ส่วนถ้าไปอยู่ในอาชีพที่เหมาะ (กุศล) วิบากที่จะได้รับก็ไม่มาก สังคมก็น้อย ปัจจัยก็ไม่มี การเป็นอยู่ก็ยาก จึงต้องดิ้นหาที่สบายกลับไปอยู่อาชีพที่ไม่เหมาะเหมือนเดิม การที่จะเปลียนอาชีพถือเป็นการตัดกิเลสเลยที่เดียวซึ่งยากมากๆ ถ้าปัญญาไม่เกิด กิเลสก็สบาย เพราะกิเลสเขากลัวปัญญาอย่างเดียว แล้งเราจะมีปัญญาไหมนี่

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
คนเจ้าโทสะ
วันที่ 3 ส.ค. 2551

ตั้งแต่จำความได้ก็ อยากเป็นครู เหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป 90 เปอร์เซนต์

เพราะรักครู

แล้วชีวิตก็ได้เป็นครู ตามปรารถนา น่าจะเป็นโอกาสสร้างความดีมากๆ คือ

สอนความรู้แก่เด็ก อบรมให้ลูกศิษย์เป็นคนดีทั้งมารยาทกาย วาจา และมีศีลสังวร

แต่...

วันนี้.. สิ่งที่พยายามคิดว่าเป็นบุญดังกล่าวข้างต้นกำลังจะกลายเป็นบาปเพราะ

โทสะ

โรงเรียนที่สอนเป็นสตรีล้วน นักเรียนทุกวันนี้ถูกอบร่ำโดยสิ่งแวดล้อมที่ชักนำไป

ในทางเสื่อมทั้งเรื่องกามารมย์ สิ่งเสพติด ความบันเทิงที่สื่อต่างๆ ช่วยกันสนองความ

ต้องการของเด็กอย่างน่าเป็น ห่วง เรื่องระเบียบวินัยที่จะสะท้อนวินัยชาติก็นับวันจะไม่

เหลือให้เห็นในโรงเรียน

ครูในโรงเรียนต้องต่อสู้สาหัสเหลือเกินที่จะชี้ทางที่ดีงามให้นักเรียน เพราะครู

พูดสิ่งดีๆ ร้อยคำ ก็ไม่เท่า คิมจองกุ๊ก พูดคำเดียว วันทั้งวันมีหูฟัง MP.3 แนบอยู่ไม่รู้

ห่าง การพูดจา ไม่มึง กู ก็ไม่ใช่เพื่อน มีสร้อยคำ (แม่ง...) เป็นเรื่องปกติ เรื่องสมบัติผู้ดี

เป็นเรื่องเต่าล้านปีมากๆ เวลาพูดคุญกันก็ต้องส่งเสียงตะโกนกรี๊ดกร๊าด ไม่เกรงใจใคร

แม้ต่อหน้าครู ครูคนไหนพบเห็นตักเตือนก็คือนางมารร้าย งี่เง่า กระโปรงนักเรียนก็

ต้องเอวต่ำมากๆ ขนาดกว้าง 2 คืบ ครูตักเตือนหรือคาดโทษก็โทรหาแม่ แม่ก็โทร

มาต่อว่าครู และสิ่งที่ต่อว่าคือ ทีเด็กอื่นทำไมไม่ว่า ครูคนไหนเป็นครูที่ประเสริฐสะสม

ความอดทนมาดีก็พยายามแก้ไขต่อไป แต่เวลานี้ครู 70% บอกตัวเองว่าถอยดีกว่า

แค่สอนให้เข้าใจวิชาการก็ยากเย็นเหลือเกินแล้ว เพราะเวลาเรียนก็แอบอ่าน

การ์ตูน แอบคุยกันเรื่องดาราเกาหลีที่ชื่นชอบ ใช้เวลาส่วนใหญ่สะสมรูปดาราแล้วนำ

มาอวดกันในเวลาเรียน

คุณครูที่ตั้งใจว่าจะสร้างบุญกุศล วันนี้กลายเป็นคนมีกรรมที่ทำใจไม่โกรธได้

ยาก กลายเป็นท้อแท้สิ้นหวังเพราะแบกโลก

ข้าพเจ้าจึงเป็นครูที่แบกนักเรียนแย่ๆ ไว้เต็มบ่า

และอาจไม่สะสมที่จะมีอาชีพครูอีกแล้ว

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kaewin
วันที่ 3 ส.ค. 2551
ไม่มีใครทำให้ทุกคนเป็นคนดี ได้ แต่ ตัวเราเอง สามารถ สอนตัวเองให้ ดีได้ ไม่มีใครสามารถมาเลือกทางให้เราได้ นอกจากเรา เลือกที่ จะเป็น คนดี เองหรือ ไม่
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
พุทธรักษา
วันที่ 4 ส.ค. 2551

ยกเว้นอาชีพทุจริตตามพระพุทธบัญญัติแล้วเข้าใจว่า อาชีพครูนั้น ดีนะคะช่วยเด็กได้คนหนึ่ง (ในร้อย) ก็ยังดี

อาชีพไหนๆ ก็มีปัญหาทั้งนั้นค่ะการทำงานคือการแก้ปัญหาแต่จะแก้ได้ดี มีประโยชน์ทั้งของตนและประโยชน์ของท่านต้องมีปัญญาเพียงพอเท่านั้นค่ะ...........................................
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย.
.................................................


(พระโอวาทานุสาสนี)
ถ้าคนพึงทำบาปก็ไม่ควรทำบาปนั้นบ่อยๆ ไม่ควรทำความพอใจในบาปนั้นการสั่งสมบาปนั้นนำทุกข์มาให้.......................
โลกถูกจิตนำไปถูกจิตชักไปสัตว์ทั้งปวงไปสู่อำนาจแห่งจิต อย่างเดียว..................................................................ขออนุโมทนาค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ไม่มีเรา
วันที่ 4 ส.ค. 2551

โมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 4 ส.ค. 2551

จิตใจของคุณครูก็เหมือนปุถุชนคนทั่วไป อกุศลจิตย่อมเกิดบ่อยกว่ากุศลจิตในชีวิต

ประจำวัน การเป็นคุณครูด้วยใจที่จะสร้างความดีนั้นเป็นอาชีพที่เสียเสียสละมากน่ะ

ค่ะ ดีที่คุณครูคนเจ้าโทสะยังมีอุปนิสัยในการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ขอให้คุณครู

ยึดพระธรรมคำสั่งสอนเป็นที่พึ่ง อดทนต่อความไม่ดี ความไม่เหมาะไม่ควรของเด็กนัก

เรียนที่มีอุปนิสัยไม่เหมาะสม ซึ่งยังเป็นวัยที่ไม่มีความคิดอะไร ชอบแต่สนุกสนานอย่าง

เดียว ก็ต้องอดทนและคิดด้วยเมตตาที่จะเกื้อกูล แนะนำสั่งสอนเขา เป็นผู้เห็นประ

โยชน์ของการเจริญบารมีเพื่อที่จะขัดเกลากิเลสของตนด้วย เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วย

เมตตา และ ขันติคือความอดทนซึ่งเป็นเครื่องตรวจสอบความมั่นคงในการเจริญกุศล

ของตนเองอีกด้วย

ขอเป็นกำลังใจแก่คุณครูคนเจ้าโทสะด้วยค่ะ ขออย่าท้อแท้หมดกำลังใจที่จะอบรม

เจริญกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
คุณ
วันที่ 4 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pamali
วันที่ 11 ส.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
มหาแสนดี
วันที่ 5 ก.ย. 2553

แม่พิมพ์ของชาติ กับ เรือจ้าง คุณครูจะเลือกเป็นอะไร

เป็นแม่พิมพ์ต้องฝึกตัวเองอยู่เสมอทำตัวให้กลมกลืนกับสมัย แต่ระวังถูกกลืน

หากเป็นแบบพิมพ์ที่มีคุณภาพต่ำก็ไม่สามารถเป็นแบบอย่างให้ใครได้

สังคมไทยในวันนี้เป็นสังคมที่ชอบเอาอย่างทำตามแบบอยู่แล้ว

ฉะนั้นหากจะแก้อะไรต้องแก้ที่ต้นเหตุ ว่ามีมาอย่างไร

ขอความสุขความเจริญจงมีแก่คุณครูทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 14 เม.ย. 2554

ผมฟังธรรมคิดว่าเพราะว่าต้องเป็นเราไม่มีกรรมก็ไม่มีเราๆ เป็นคนทำ ขอให้กำลังใจคุณครูมีเมตตาและให้อภัยกับนักเรียน ขอขอบคุณขออนุโมทนาในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 28 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ