สุดท้ายแล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร

 
ถิรญาณี
วันที่  24 มี.ค. 2549
หมายเลข  958
อ่าน  22,477

บ้างก็ว่าญาณ บ้างก็ว่า อริยสัจ 4 บ้างก็ว่า ปฏิจจสมุปบาท สรุปแล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรคะ?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 25 มี.ค. 2549

พระพุทธองค์ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงที่ผู้อื่นไม่รู้ ซึ่งจะกล่าวโดยนัยอย่างไรก็ได้ เช่น ทรงตรัสรู้ธรรมทั้งปวงที่มีจริง ทั้งเหตุให้เกิด ทั้งความดับ และหนทางดับของ ธรรมทั้งปวง ทรงตรัสรู้นามธรรมและรูปธรรม เหตุเกิด ความดับ หนทางดับนามธรรมและ รูปธรรม ทรงตรัสรู้สิกขา ๓ คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ทรงตรัสรู้ อริยสัจจธรรม คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ หนทางดับ ทุกข์ ทรงตรัสรู้ ขันธ์ ๕ เหตุเกิด ความดับ หนทางดับขันธ์ ๕ ตรัสรู้ อายตนะ ๖ เหตุเกิด ความดับ หนทางดับอายตนะ ๖

ฯลฯ

จะกล่าวโดยนัยอื่นๆ ได้อีกมากมาย

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
werayut
วันที่ 25 มี.ค. 2549

เป็นคำถามที่ดีมากครับขอให้เป็นคำถามประจำใจของชาวพุทธทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ถิรญาณี
วันที่ 26 มี.ค. 2549

ขออนุโมทนา และขอขอบพระคุณในคำตอบทุกข้อค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ภพฺพาคมโน
วันที่ 28 มี.ค. 2549

ตอบว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ 4 หรือปฏิจจสมุปบาท ค่ะ

ทั้งอริยสัจ 4 กับปฏิจจสมุปบาท สามารถสงเคราะห์กันได้ดังนี้..

สมุทยวาร = เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด ฯ

นิโรธวาร = เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ฯ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
namarupa
วันที่ 30 มี.ค. 2549

พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ในสภาพธรรม หรือสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏอยู่ตลอดเวลา ทาง ๖ ทวาร คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา และไม่ใช่เขา เป็นเพียงแค่ "สภาพธรรม" เท่านั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ถิรญาณี
วันที่ 11 เม.ย. 2549

อนุโมทนา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pornpaon
วันที่ 27 ม.ค. 2550
สาธุ ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chackapong
วันที่ 28 ม.ค. 2550

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง ไม่ว่าพระองค์ใดก็ตาม ก็ตรัสรู้สิ่งเดียวกัน คือ ความ

จริง ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตามสิ่งนั้นคือความจริง ทุกพระองค์ตรัสรู้สิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่

ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
study
วันที่ 28 ม.ค. 2550
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้สิ่งเดียวกันครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
namarupa
วันที่ 3 ก.พ. 2550

พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่า….สิ่งใดที่มีจริง…... สิ่งนั้น…..คือธรรมทั้งหมด

ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่รถ ไม่ใช่เก้าอี้ ไม่

ใช่แมว ไม่ใช่หนู…… แต่เป็นเพียงแค่ "สภาพธรรมที่มีสภาวะลักษณะแต่ละอย่างๆ

เท่านั้น" …... และที่สำคัญที่สุดคือ…เพราะเกิดดับอยู่ตลอดเวลา…จึงไม่เที่ยง……และ

เป็นอนัตตา…..…จึงเป็นทุกข์ทั้งหมด แต่เราไม่รู้ และเพราะความไม่รู้ในความจริง

นั้น…...จึงยึดถือว่า เป็นเรา…เป็นเขา….เป็นพ่อ….เป็นแม่….เป็นพี่…..เป็นน้อง…..เป็น

คนที่เรารัก…...เป็นบ้านเรา….เป็นของๆ เรา… จึงทำให้เราทุกคน....ผู้ไม่รู้ในความจริง

นั้น.......มีทุกข์แล้วทุกข์อีกในสังสารวัฏฏ์

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
อารายเนี่ย
วันที่ 22 พ.ค. 2550

สุดท้ายแล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร..........? บ้างก็ว่าญาณ บ้างก็ว่า อริยสัจ 4 บ้างก็ว่า ปฏิจจสมุปบาท

สรุปแล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรคะ?

ไม่ว่าจะใช้คำพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจ 4 ปฏิจจสมุปบาท ขันธ์ 5 ธาตุอายตนะหรืออื่นๆ ก็ตามที คำที่กล่าวมา (อริยสัจ 4..อายตนะ) ก็เป็นสภาพธัมมะที่มีใน

ขณะนี้เอง แต่ทรงแสดงโดยนัยประการต่างๆ เพราะอัธยาศัยของสัตว์โลกมีมาก

มาย บางคนเข้าใจโดยนัยอริยสัจ 4 บางคนเข้าใจโดนนัย ขันธ์ หรือบางคนเข้าใจ

โดย อายตนะ เป็นต้น ดังนั้น ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ก็คือสภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ ซึ่งแสดงโดยนัย

อะไรก็ได้ ก็คือ ธรรมทั้งหมด เช่น เห็น เป็นธรรมที่มีจริง ทรงตรัสรู้ว่าเป็นธรรม เห็น

เป็นทุกขอริยสัจ เพราะเป็นธรรมที่เกิดดับ และควรกำหนดรู้ เห็น เป็น วิญญาณขันธ์

(ขันธ์ 5) เห็น เป็น จักขุวิญญาณธาตุ (ธาตุ) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เมื่อเรากล่าวถึงธรรม

โดยนัยอะไร ก็ไม่พ้นจากสภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ แล้วแต่จะแสดงโดยนัยอะไรครับ ดังนั้น พระพุทธเจ้า และแม้ผู้ที่จะตรัสรู้ก็ต้องตรัสรู้สภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ว่า

เป็นธัมมะ ไม่ใช่เราครับ ไม่ว่าจะแสดงโดยนัยอะไรก็คือธรรมครับ ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 23 พ.ค. 2550
ขออนุโมทนาคะ
 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
wannee.s
วันที่ 25 พ.ค. 2550

ปัญญาของพระพุทธเจ้า เรียกว่า สัพพัญญตญาณ แปลว่าปัญญาที่รู้ทุกอย่าง

นอกเหนือจากอริยสัจจ์ 4 มรรคมีองค์ 8 ก็ยังมีอีกมากที่พระพุทธเจ้ารู้และไม่ได้

แสดง เพราะไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ ปัญญาของพระพุทธเจ้าไม่มีที่สุด ไม่มีอะไรที่พระ

พุทธเจ้าไม่รู้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
orawan.c
วันที่ 25 พ.ค. 2550

หัวใจของพระพุทธศาสนา ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง และเป็น อนัตตา คือไม่ใช่สัตว์

บุคคลตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดดับตามเหตุปัจจัย จึงบังคับบัญชาไม่ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 25 พ.ค. 2550

เรื่อง จุดเริ่มต้นของการศึกษาธรรมต้องรู้เสียก่อน ว่า...... ธรรมคืออะไร

ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง มี 2 อย่าง คือ นามธรรมและรูปธรรม นามธรรมเป็นสภาพรู้รูปธรรมเป็นสภาพธัมมะที่ไม่รู้อะไร เช่น เสียงเป็นรูปธรรม เช่น เสียง คิดนึกไม่ได้ จึงเป็นรูปธรรมธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คือ บังคับบัญชาไม่ได้ สติบังคับไม่ได้ ที่จะเกิดไม่เกิด โกรธบังคับไม่ได้ ดังนั้นการปฏิบัติจึงไม่มีตัวเราที่จะไปบังคับได้ แม้กุศลก็บังคับไม่ให้เกิดหรือให้เกิดก็ไม่ได้ ต้องมีเหตุปัจจัย การจะรู้ธรรมหรือจะปฏิบัติ ก็ต้องรู้เสียก่อนว่า ธรรมคืออะไรอยู่ในขณะไหน ขณะนี้มีธรรมไหมครับ เห็นเป็นธรรมไหม ควรรู้หรือไม่ควรรู้ เลือกจะรู้ได้ไหม ที่กล่าวข้างต้น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้สติ บังคับไม่ได้จึงเลือกจะรู้ไม่ได้ ดังนั้น ควรเริ่มต้นพื้นฐานให้เข้าใจเสียก่อนครับว่า ธรรมคืออะไร จากเว็ปนี้เอง

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 25 พ.ค. 2550

การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง

1. การศึกษาต้องเป็นไปตามลำดับจากการฟังให้เข้าใจในคำสอนจากพระพุทธ- เจ้า (พระไตรปิฎก) ถ้ายังไม่เข้าใจก็ปฏิบัติผิด2. การศึกษานั้นเพราะธรรมเป็นสิ่งที่ยาก ต้องพิจารณา ใคร่ครวญ ตรวจสอบ กับพระไตรปิฎก คิดนึกเอาเองไม่ได้ครับ3. ลืมแนวคิดเก่าๆ ก่อน แล้วลองพิจารณาในสิ่งที่ได้รับฟังว่าเป็นเหตุเป็นผล อย่างไร โดยมีพระธรรมวินัยเป็นเครื่องตรวจสอบครับ4. การศึกษาเป็นไปเพื่อละคลาย แม้ความต้องการที่จะอยากปฏิบัติ เพราะธรรม ปฏิบัติ มิใช่เราปฏิบัติ

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
ประสาน
วันที่ 2 ก.ย. 2560

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ