ลึกลับ...เพราะมีจริง แต่ไม่ปรากฏ !
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอน จากการถอดเทปวิทยุโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล ท่านอาจารย์สุจินต์สนทนาธรรมกับคุณทรงเกียรติ
คุณทรงเกียรติ นิพพานนี้ เป็นที่ดับกิเลส ดับตัณหา เป็นที่ดับอุปธิทั้งปวงเพราะฉะนั้น ผมจึงยังไม่อยากได้นิพพานหรอกครับเพราะว่าจะต้องสละอุปธิทั้งปวง...ถ้าขณะนี้ให้ผมไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ผมต้องกลุ้มแน่ๆ ถ้าขณะนี้ตาบอดไป หรือหูหนวกไป ไม่อยากได้แน่
ท่านอาจารย์ เพราะไม่ประจักษ์ชัดว่า ไม่ใช่ตัวตน ใช่ไหม ยังเป็นเราเห็น ยังมีความเป็นเราเพราะฉะนั้น ก็ยังมีความยินดี มีความต้องการที่จะเห็นต่อไปยังไม่ประจักษ์ว่า แท้ที่จริงแล้ว ในขณะนี้ ที่กำลังเห็นนี้ต้องมีสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต้องแยกลักษณะทั้งสองนี้ออกจากกัน ว่าในขณะที่กำลังเห็น มีสภาพรู้ สภาพรู้นั้น รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นเองสภาพธรรมที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาจะทำอย่างอื่น ยิ่งไปกว่านี้ไม่ได้เลยเพียง เห็น ในขณะนี้...เป็นของจริงแค่ เห็น สิ่งที่กำลังเห็นจะให้ เห็น ไปคิดไปนึกอะไรก็ไม่ได้.
เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังเห็นเป็นสภาพธรรมที่เพียงเห็นเท่านั้นเองจริงๆ ไม่ใช่ขณะอื่น และเมื่อเห็นก็ต้องเห็น บังคับไม่ให้เห็นไม่ได้ นี่คือความหมายของอนัตตา
เพราะฉะนั้น ที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระธรรมซึ่งบางท่านกล่าวว่า พระองค์ไม่ได้ทรงแสดงพระอภิธรรมเพราะว่าในพระสูตรต่างๆ ก็เป็นเรื่องของโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้างแล้วก็เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดนึกบ้าง ที่ทรงแสดงทั้งหมดในพระสูตร เป็นพระอภิรรมทั้งนั้นเป็นสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ใครจะไม่ให้เห็นเกิดขึ้น ไม่ได้ มีปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้นเห็น ..เห็นก็ต้องเห็นแต่ "เห็น" จะคิดนึกอะไร จะทำอะไร อย่างหนึ่งอย่างใดให้วิจิตรเกินกว่า "เห็น" ..ที่กำลังเห็นในขณะนี้ไม่ได้เลย
เพราะว่าจิตที่เห็น เป็นจิตประเภทหนึ่ง ในจิตหลายๆ ประเภทซึ่งต่างกันไปแต่ละขณะ ตามเหตุตามปัจจัย.แต่ต้องเข้าใจเรื่องการเห็นเพิ่มขึ้นว่า ขณะที่กำลังเห็น...เป็นเพียงเห็นสภาพธรรมที่กำลังเห็นนี้ได้ยินเสียงไม่ได้...คิดนึกไม่ได้ เห็นเกิดขึ้น ทำกิจเห็นเท่านั้น
เมื่อมีเหตุปัจจัย ที่จะให้จิตเกิดขึ้น มีสภาพธรรม ที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาซึ่งใช้คำว่า "เห็น" เป็นธรรมะ เป็นของจริง เป็นสภาพธรรมที่ลึกซึ้งหรือจะใช้คำว่า "ลึกลับ" ก็คงไม่ผิด เพราะว่า "ไม่ปรากฏ"
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่ คุณพ่อ คุณแม่ญาติมิตรที่ล่วงลับ และสรรพชีวิตที่ล่วงรู้ได้อนุโมทนาด้วยกันค่ะ
จิตเห็นจะวิจิตรเกินกว่ากิจเห็นของตนไม่ได้
...ขออนุโมทนาครับ...
สภาพธรรมลึกลับเพราะเป็นอนัตตา จะมาก็มาและมาแล้วก็เป็บเดียวและเป็นเป็บแสนสั้นก็หมดไป ที่ที่มาก็ไม่มีที่ที่ไปก็ไม่มี เหมื่อนหนังอินเดียที่หายตัวได้ จึงลึกลับและไม่ปรากฏแต่มีจริง ผมเข้าใจอาจารย์ทรงเกียรติที่ว่า ยังไม่อยากได้นิพพาน เพราะคุณปริศนาเขียนบ่อยๆ ว่าเป็น จิรกาลภาวนา พระพุทธเจ้าใช้เวลา ๔ อสงไขยแสนกับป์ บำเพ็ญภาวนาผู้มีปัญญาฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าอาจใช้เวลาน้อยกว่า แต่พวกเราอาจใช้เวลามากกว่า หนึ่งกับป์อาจเป็นล้านๆ ชาติ แล้วแต่ละชาติที่เกิดอาจไม่ได้พบพระธรรม หรื่ออาจพบแต่ไม่ใช่ธรรมะจากพระโอษฐ์ หรือพบธรรมะจากพระโอษฐ์ ก็ไม่เข้าใจว่าปัญญาเกิดได้อย่างไร ถ้าตกอบายก็หมดโอกาส นี่ก็ยากแสนยากจนอาจารย์รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป แต่ก็รู้อยู่ว่าวันหนึ่งเมื่อประจักษ์ชัดสภาพธรรมก็คงถึง
ขออนุโมทนาครับ
สัญญาวิจิตร เพราะจิตวิจิตร หมายความว่า เมื่อจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น สัญญาดวงหนึ่งก็เกิดขึ้น จิตเกิดร้อยครั้ง พันครั้ง สัญญาก็เกิดร้อยครั้ง พันครั้ง เท่ากับจิตนั่นแหละค่ะ
สัญญาวิจิตรเพราะจิตวิจิตร จิตวิจิตรจึงมีเรื่องราว มีความครึกครื้น มีภาพเขียนมีสัตว์รูปต่างๆ มีการลงใต้ทะเลจนถึ่งไปพระจันทร์ จิตเกิดก็ต้องมีอารมณ์ วันๆ ชีวิตก็อาศัยอารมณ์เหล่านี้เป็นเครื่องประเล้าประโลมใจ ที่สำคัญต้องรู้ว่าเป็นเพียงธรรมะที่เกิดขึ่นแล้วดับไปหาสาระไม่ได้ครับ