อยากสำรวม...อยากสงบ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นข้อความบางตอนจากการถอดเทปวิทยุ โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
ท่านอาจารย์กรุณาอธิบายเรื่อง "การเจริญสติปัฏฐาน" ไว้ว่า
ถ้าจะกล่าวถึงคำหนึ่งคำใด ให้ท่านผู้ฟัง ทำอย่างอื่น เช่นในขณะนี้ มาทำให้จิตสงบกันเสียดีกว่าถ้ากล่าวอย่างนี้ สติ จะไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า เป็นเพียงสภาพรู้ ที่กำลังเห็นหรือในขณะที่เสียงกำลังปรากฏ สติก็จะไม่เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังรู้เสียงซึ่งไม่ใช่ตัวตนเลย สักขณะเดียว
เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังก็ไม่มีโอกาสที่สติจะเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง
จึงไม่มีประโยชน์อะไร ที่ท่านผู้ฟังจะศึกษาพระธรรม ด้วยความเป็นเรื่องราวแต่ไม่ได้พิสูจน์พระธรรม ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนี้ เป็นความจริงและไม่มีวันที่จะ "ประจักษ์ชัดความจริง"
เพราะบางท่านคิดว่า ถ้าจะปล่อยให้ชีวิตนี้ผ่านไป ตามเหตุตามปัจจัยดูเหมือนไม่สำรวม ซึ่งอกุศลย่อมเกิด ตามเหตุตามปัจจัยท่านก็เลย มีตัวตนที่อยากจะได้กุศลอยากได้ด้วยความไม่รู้ แต่ว่าอยากจะได้ เพราะว่าไม่พอใจในอกุศล
แต่กุศล มีหลายขั้นถ้าไม่เข้าใจเรื่อง "การเจริญสติปัฏฐาน" ท่านก็อยากจะสงบ เพราะเห็นชัดทันทีว่า ปริยุฏฐานกิเลสไม่ได้เกิดขึ้นคือ ความไม่แช่มชื่น ความที่เป็นโลภะ โทสะ ไม่ปรากฏ ท่านหวังเพียงเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นไปโดยลักษณะแล้วไม่ใช่การที่จะดับกิเลส เป็นสมุจเฉทเลย มีแต่กุศล ที่เป็นความสงบของจิตเกิดขึ้นแต่ก็เป็นตัวตน ทุกภพ ทุกชาติไป แล้วเมื่อไร ปัญญาจึงจะประจักษ์ชัดว่าเห็นที่กำลังเห็นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นจิต เป็นนามธรรมไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล
แล้วบางท่านก็คิดจะทำหลายอย่างค่ะ จะทำสำรวมจะทำสงบ ล้วนแต่เป็นเรื่องของ "การทำ" ทั้งสิ้น แต่ให้ทราบว่า แล้วเวลาที่ไม่ทำละคะปัญญาสามารถที่จะเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะ ของสภาพธรรมในขณะนี้ ซึ่งกำลัง "ไม่ได้ทำ" ตามปกติ ตามความเป็นจริงว่าเป็นธาตุรู้ ที่กำลังเห็น เป็นธาตุรู้ ที่กำลังได้ยินไม่ใชตัวตน สัตว์ บุคคล ได้ไหม เพราะว่าท่านคิดว่า ท่านจะต้องทำอย่างนี้บ้าง อย่างนั้นบ้าง เวลาที่ท่านคิดจะ "ทำสำรวม" ท่านก็พอใจ ในความสำรวมเวลาที่ท่านคิดจะ "ทำสงบ" ท่านก็พอใจในขณะที่คิดว่า กำลังสงบ แต่ใครจะ "เป็นตัวตน" ที่จะทำอยู่ได้เรื่อยๆ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นที่จะให้เป็นไปอย่างนั้นเข้าใจว่าเป็นตัวท่านที่ทำ แล้วสามารถที่จะทำได้
นั่นเป็นการเข้าใจผิด ว่าเป็น "ตัวท่าน" ที่ทำ เป็นความเห็นผิดที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง ว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
ทุกขณะ จะต้องเกิดขึ้น เพราะมีเหตุปัจจัยแต่เมื่อไหร่ จะรู้ชัดอย่างนั้น แล้วในวันหนึ่งๆ ที่ "ไม่ได้กำลังทำ" มีไหม
เพราะว่า ไม่มีใครสามารถที่จะ "ทำสำรวม" อยู่ได้ตลอดเวลาเพราะว่า ในขณะที่ไม่ได้ "ทำสำรวม" ก็ย่อมมีซึ่งขณะนั้น อกุศล ย่อมเกิด ย่อมปรากฏ ตามปกติ ตามความเป็นจริง แล้วรู้ไหม ว่าขณะนั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่ญาติมิตรที่ล่วงลับ และสรรพสัตว์อนุโมทนาด้วยค่ะ
วัตถุทาน ๑๐ อย่าง
ข้าว น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่อยู่ ที่นอน ดวงประทีป
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์
ขออนุโมทนาคุณปริศนาและผู้เจริญกุศลทุกท่านค่ะ
จิตเกิดดับเร็วมาก และเมื่อเกิดก็ต้องมาประกอบด้วยอารมณ์ทุกจิต อารมณ์เป็นปัจจัยหนึ่งให้เกิด กุศล อกุศล สังขารขันธ์เมื่อมีกำลัง เป็นอนัตตา ก็รู้อารมณ์ กุศลอกุศลที่เกิด เมื่อสติเกิดการรู้จึงมีอยู่ทุกขณะวินาทีมากมาย เ หมื่อนการงานมีมากมายไม่มีเวลาว่าง ขณะนั้นสำรวม สงบ ไม่มีสัตว์ ตัวตน บุคคล ไม่ใช่สำรวมสงบโดยการทำหรือนั่งสมาธิที่มีตัวตนตั้งใจทำ (ถ้ามีตัวตนทำจะเปิดบังขบวนการเจริญของสังขารขันธ์ไม่ให้เกิด เป็นการหลงทาง เสียเวลาและล้มเหลว) แต่เป็นการสงบของกุศลจิตที่ประกอบด้วยจิต เจตสิก สงบซึ่งเป็นกุศลสาธารณเจตสิก ส่วนเอกัคคตาเจตสิกซี่งเป็นสมาธิ สงบ เป็นสัพพจิตตสาธารณ มี่อยู่แล้ว ครับ