มูลสูตร - ๒๓ ส.ค. ๒๕๕๑

 
บ้านธัมมะ
วันที่  18 ส.ค. 2551
หมายเลข  9595
อ่าน  3,102

สนทนาธรรมที่ ...

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ ๒๓ ส.ค. ๒๕๕๑ เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐น. คือ

๓. มูลสูตร

[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๖๗๔


[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๖๗๔

๓. มูลสูตร

[๑๘๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกพึงถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นมูลมีอะไรเป็นแดนเกิด มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นที่ประชุมลงมีอะไรเป็นประมุข มีอะไรเป็นใหญ่ มีอะไรยิ่งกว่า มีอะไรเป็นแก่นเธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นว่าอย่างไร. ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมแห่งข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นมูล มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงจำไว้. พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นเธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่า พวกอัญญ-เดียรถีย์ปริพาชกพึงถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ธรรมทั้งปวง มีอะไรเป็นมูล มีอะไรเป็นแดนเกิด มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นที่ประชุมลง มีอะไรเป็นประมุข มีอะไรเป็นใหญ่ มีอะไรยิ่งกว่า มีอะไรเป็นแก่น เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด มีผัสสะเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นยิ่ง มีวิมุตติเป็นแก่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถูกถามอย่างแล้ว พึงพยากรณ์แก่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้.

จบ มูลสูตรที่ ๓


อรรถกถามูลสูตรที่ ๓

มูลสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. บทว่า สพฺเพ ธมฺมา ได้แก่ ขันธ์ ๕. บทว่า ฉนฺทมูลกาความว่าชื่อว่า มีฉันทะเป็นมูล เพราะมีฉันทะคืออัธยาศัยและฉันทะคือความเป็นสู่ใคร่จะทำเป็นมูลของขันธ์ ๕ นั้น. ชื่อว่ามีมนสิการเป็นแดนเกิด เพราะเกิดแต่มนสิการ. ชื่อว่ามีผัสสะเป็นสมุทัย เพราะเกิด คือรวมเป็นกลุ่มผัสสะ ชื่อว่า มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง เพราะประชุมลงในเวทนา. ชื่อว่ามีสมาธิเป็นประมุข เพราะมีสมาธิเป็นประธาน. ชื่อว่ามีสติเป็นใหญ่ เพราะมีสติเป็นอธิบดี ด้วยอรรถว่าเจริญที่สุด อธิบายว่า มีสติเป็นหัวหน้า. ชื่อว่ามีปัญญาเป็นยอดเพราะอรรถว่ามีปัญญาสูงสุด. ชื่อว่ามีวิมุตติเป็นแก่น เพราะมีวิมุตติเป็นสาระ. ก็ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโลกิยธรรมทั้ง ๔ มีฉันทะเป็นมูล เป็นต้น ที่เหลือตรัสคละกันทั้งโลกิยะและโลกุตตระแล.

จบ อรรถกถามูลสูตรที่ ๓


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prakaimuk.k
วันที่ 18 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ.....
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
h_peijen
วันที่ 18 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
นิด
วันที่ 19 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
อิน
วันที่ 21 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 21 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 28 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 4 พ.ค. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
่jurairat91
วันที่ 4 ก.ย. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ