อาการซึมเศร้า

 
natnicha
วันที่  18 ส.ค. 2551
หมายเลข  9613
อ่าน  3,187

มีคนรู้จักคนหนึ่งมีอาการซึมเศร้าค่ะ คือ ไม่อยากทำอะไรเลย ได้แต่นอน แต่ไม่ได้นอนหลับนะคะ คือนอนเฉยๆ บางครั้งก็เป็นนาน หลายอาทิตย์เป็นเดือนก็มี ต้องหยุดงานเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ คนในครอบครัวต้องช่วยกันสอดส่อง ไม่ให้อยู่คนเดียวเพราะเกรงว่าจะทำร้ายตัวเอง หมอปัจจุบันก็ให้ยาหลายชนิดแล้วแต่ก็ยังไม่หาย อาการซึมเศร้านี้จะเป็นสลับกับอาการไฮเปอร์ คืออยากทำกิจกรรมตลอดไม่อยู่นิ่ง บางครั้งก็ใจร้อน อาการที่ว่ามานี้เป็นอาการของโรคชนิดหนึ่งซึ่งจำชื่อไม่ได้แล้ว ตอนนี้คนในครอบครัวเขาก็เป็นทุกข์มากเพราะไม่รู้จะรักษาอย่างไร ถ้าใครพอจะมีคำแนะนำดีๆ อะไรบ้าง ก็ยินดีนะคะ ขอบคุณค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 19 ส.ค. 2551

เข้าใจว่าอาการของโรคบางชนิดต้องอาศัยเวลาในการบำบัดรักษา และควรจะใช้วิธีหลายๆ วิธี หมอปัจจุบันก็ควรให้รักษาที่ต่อเนื่อง ต้องมีคนอยู่เป็นเพื่อนและมีกิจกรรมให้ทำตามสมควร ที่ขาดไม่ได้ก็คือ ให้ฟังธรรมะ ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ดูแลรักษาไปเรือยๆ อาจจะต้องดูแลรักษากันตลอดชีวิต แต่ถ้ารักษาอย่างถูกวิธีจะทำให้เขามีอาการดีขึ้นและดูแลตัวเองได้ระดับหนึ่ง ก็ขอเป็นกำลังให้นะครับ ในเมื่อเขาเกิดมาเป็นญาติของเราแล้วก็ควรทำการสงเคราะห์ญาติตามสมควรแก่ฐานะ พระธรรมของพระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้สงเคราะห์ญาติ เพราะการสงเคราะห์ญาติเป็นมงคลอย่างหนึ่ง ในมงคล ๓๘ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prakaimuk.k
วันที่ 19 ส.ค. 2551

ผู้ป่วยประเภทนี้คงยังต้องอาศัยการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันอยู่ค่ะ เพราะสาเหตุของโรคอาจเนื่องมาจากความไม่สมดุลย์ของระดับสารเคมีในสมองด้วย ทำให้มีผลกระทบอย่างมากกับสภาพจิตใจและร่างกาย นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การดูแลเอาใจใส่ด้วยความเข้าใจและความอดทนจากญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดค่ะ และการดูแลจะได้ผลยิ่งขิ้นเมื่อเรามีความเข้าใจในพระธรรมด้วย สามารถช่วยเกื้อกูลถ่ายทอดธรรมให้ผู้ป่วยได้ตามโอกาสในช่วงที่เขาจะรับได้ เป็นการสงเคราะห์ญาติทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นการสงเคราะห์ตนในเรื่องความเมตตาและความอดทนด้วย และเป็นการช่วยละคลายความทุกข์ของหลายฝ่ายด้วยค่ะ.....

ตามทฤษฎีดูง่ายค่ะ แต่ทางปฏิบัติทำได้ยากทีเดียว ต้องประกอบด้วยเมตตาและความอดทนอย่างสูงค่ะ ขอให้กำลังใจจริงๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปริศนา
วันที่ 19 ส.ค. 2551

อยู่ในตระกูล โรคประสาทเช่น BIPOLAR DISORDER (manic- depressive disorder) ข้อมูลเรื่องอาการและวิธีรักษาค้นได้ในกูเกิ้ลค่ะ.

ต้องพบจิตแพทย์ต้องรักษาแต่เนิ่นๆ เป็นอาการของโรค ไม่ใช่แกล้งทำแต่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพดีพอสมควรหากอยู่ในความดูแลของจิตแพทย์ส่วนใหญ่ต้องทานยาตลอดชีวิต.

ต้องนอนให้เพียงพอ โดยเฉพาะตอนกลางคืนต้องไม่เครียดหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เครียด ต้องทานยาให้ตรงเวลาและสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง.

จิตบำบัดที่ดีที่สุดคือ การฟัง หรือ อ่านพระธรรมหากน้อมนำพระธรรมมาได้ และเข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรมมั่นคงในเรื่องของกรรมและเหตุปัจจัย รู้ว่า สติปัฏฐาน หมายความว่าอย่างไร แม้จะต้องเผชิญกับอาการ "เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย" ก็ไม่ถึงกับรุนแรงและอันตราย. ขึ้นอยู่ที่ว่าผู้ป่วย ได้สั่งสมบุญ มาในอดีตหรือไม่มีอัธยาศัย ในการฟังพระธรรม หรือไม่หากฟังพระธรรม แล้วเข้าใจเขาจะได้รับยาขนานเอกคือ "ธรรมโอสถ" และสามารถอยู่กับอกุศลวิบากคือ โรคร้ายได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถทำงานบางอย่างที่ไม่เครียดได้

โดยเฉพาะ"การศึกษาพระธรรม" "ธรรม รักษา ผู้ประพฤติธรรม"

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ajarnkruo
วันที่ 19 ส.ค. 2551

คงต้องค่อยๆ ดูแล และเอาใจใส่เขาให้ดีครับ กว่าจะอาการดีขึ้น คงต้องอาศัยปัจจัยหลายๆ อย่างแต่ถ้าผู้ดูแลเข้าใจพระธรรม ก็จะมีความมั่นคงในผลของกรรมว่า. ถ้าเป็นผลของกุศลจริงๆ จะไม่มีทางทำให้เขาต้องเป็นอย่างนี้ได้เลย ผลที่ไม่ดีที่เขาได้รับนั้นมาจากการกระทำเหตุที่ไม่ดีในอดีต แต่ผลที่ดีที่ยังทำให้มีผู้อยู่ดูแลเคียงข้างไม่ถูกทอดทิ้งนั้นมาจากกระทำที่ดีครับ เหตุนี้ กุศลจึงเป็นเหมือนญาติ เพราะคอยตามพะเน้าพะพอช่วยเหลือจุนเจือผู้กระทำบุญอยู่ทุกๆ ชาติไปจริงๆ เราเองก็ไม่พึงประมาทในการเจริญกุศลแม้เพียงน้อยเลย

...ขออนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
choonj
วันที่ 19 ส.ค. 2551

โรคซึ่มเศร้าเป็นโรคยอดนิยมเป็นกันมากเป็นร้อยๆ ล้านคนไม่ว่าชนชาติไหน ในอเมริกามีการทำสารคดีเกียวกับโรคนี้เช่นของ opra winfrey นักจัดรายการ ทีวี ชื่อดังของอเมริกา คนที่เป็นมีทุกอาชีพ เป็นตัวตลก นักร้องแผ่นเสียงทองคำ นักสังคมสงเคราะ ทุกอาชีพๆ ๆ หมอยังหาสาเหตุไม่เจอ ถ้าอาการยังน้อยก็ยังพอทำงานได้ เช่นตัวตลกในละครสัตว์แต่พอแสดงจบก็มานั่งซึ่มเศร้า ถ้าอาการมากก็จะทำอะไรไม่ได้เลย เช่น คนที่รู้จักคนนี้ คนที่เป็นโรคนี้น่าสงสารมาก ในขณะที่เขานั่งซึ่มเศร้าถามเขาว่าเป็นอะไรเขาตอบว่าเขาก็ไม่รู้แต่นั่งเศร้า ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับสาเหตุของโรคนี้อาจจะผิดก็ได้เพราะไม่ใช่หมอ สหายธรรมที่เรียนธรรมะก็รู้ว่า มี โลภะ โทสะ โมหะ สาเหตุของโรคนี้น่าจะเป็นโทสะ เพราะอาการต่างๆ ฟ้อง ทุกคนมี โทสะแต่ถ้าสะสมจนมีกำลังมากๆ เข้าก็จะพัฒนาเป็นซึ่มเศร้า ถ้าความคิดนี้ถูก การดูแลผู้ป่วยก็ต้องเกี่ยวกับการลดหรือกำจัดโทสะ จะเห็นได้จากว่ามีการเป็นห่วงว่าผู้ป่วยจะฆ่าตัวตาย ก็มีแต่โทสะเท่านั้นที่เป็นเหตุ ถ้าดูแลดีๆ โรคนี้รักษาหายได้เพราะมีผู้รักษาหายมาแล้ว และผู้ที่ป่วยโรคนี้ด้วยกันที่หายแล้วจะสงเคราะผู้ที่ป่วยอยู่ได้ดีจริงๆ ผู้ป่วยเป็นโรคนี้จะวิงวอนให้คนรอบข้างช่วยเขาด้วยและถ้าเราเป็นคนรอบข้างก็จะสงสาร ผมเคยสนทนาเรื่องนี้กับคุณติ้มที่ มศพ และแนะนำคุณติ้ม (คุณสุพิน) ให้เขียนหนังสือโดยอาศัยความรู้ทางธรรมะ รับรองขายดีแน่นอนเพราะหนังสือในท้องตลาดเนื้อหาสู้ที่มาจากธรรมไม่ได้ แต่ทุกคนก็รู้การเขียนหนังสือไม่ง่ายต้องขันติ ถ้าใครสนใจและเขียนได้เชิญเลย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Noparat
วันที่ 19 ส.ค. 2551

ผู้ดูแลที่ดี จะต้องมีความรัก ความเมตตา ความอดทน ความเข้าใจต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เพราะการดูแลไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ที่ไม่มีใจรักค่ะ

สำหรับกรณีนี้ การดูแลย่อมเป็นหน้าที่ของผู้ที่ใกล้ชิด และเข้าใจผู้ป่วยเป็นอย่างดี การรักษาเป็นหน้าที่ของจิตแพทย์ ทั้งสองอย่างต้องควบคู่กันไปโดยใช้ระยะเวลานานพอควรค่ะ ควรหากิจกรรมที่ผู้ป่วยชอบเพื่อผ่อนคลาย ดึงความสนใจจากโลกส่วนตัวของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ก็ค่อยๆ เอาธรรมะสอดแทรกเข้าไปในชีวิตประจำวัน โดยเริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ ก่อนนะคะ ถ้าผู้ป่วยได้สั่งสมมาบ้าง ก็คงจะช่วยให้สุขภาพใจและกายดีขึ้นตามลำดับ

ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้คุณนะคะ ...โชคดีค่ะ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 19 ส.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขออนุโมทนาในกุศลของทุกท่านครับ ที่เอื้อเฟื้อด้วยกุศลธรรมด้วยคำแนะนำที่ดี

คงต้องช่วยกันเท่าที่ทำได้ ศึกษาสาเหตุของโรคนี้ให้ดี ที่สำคัญรู้จักบุคคลนั้นว่าเขาขาดอะไรในบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่นหรือเพื่อนทุกอย่างแก้ไขได้ แต่ต้องค่อยๆ แก้ครับ

และขอให้สำเหนียกไว้เสมอว่าตัวท่านก็เคยเป็นอย่างนี้แล้วในอดีตและอนาคตก็ต้องเป็นอย่างนี้เช่นกัน เมื่ออกุศลกรรมให้ผลน้อมนำมาที่ตัวเอง ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ ไม่ประมาทในอกุศลแม้เล็กน้อย อบรมศึกษาพระธรรม ขออนุโมทนาในกุศลที่สงเคราะห์ญาติครับ

พึงปรารภความเพียรในประโยชน์ของสัตว์นั้นๆ
พึงอดกลั้นสิ่งทั้งปวงมีสิ่งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนาเป็นต้น.

พึงไม่พูดผิดความจริง.

พึงแผ่เมตตาและกรุณาแก่สัตว์ทั้งปวงโดยไม่เจาะจง.

การเกิดขึ้นแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งจะพึงมีแก่สัตว์ทั้งหลาย

พึงหวังการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ทั้งปวงนั้นไว้ในตน. (จริยาปิฏก เล่ม 74 หน้า 642)

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 19 ส.ค. 2551

ให้หาหมอรักษา ให้ความเป็นเพื่อน ให้เวลาดูแลเขาเป็นพิเศษ ให้ความรักความอุ่นกับเขา ภัยในสังสารวัฏฏ์นี่น่ากลัวจริงๆ ทำให้เราวนเวียนอยู่กับกิเลส กรรม วิบาก ถ้าประมาท ไม่เจริญกุศล โดยเฉพาะเจริญมรรคมีองค์แปด ก็ไม่มีทางออกจากวัฏฏ์สงสารนี้ได้เลยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 19 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
natnicha
วันที่ 19 ส.ค. 2551

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนากับคำแนะนำที่ดีและกำลังใจที่มอบให้ของทุกท่านค่ะ ตอนนี้ ทางครอบครัวของเขาก็พยายามดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ถ้าจะพาเขามาฟังธรรมที่มูลนิธิฯนี่ จะเป็นการฝืนใจเกินไปสำหรับเขาหรือเปล่าคะ เพราะเขาจะไม่อยากพูดคุยหรือพบปะใคร ไม่อยากไปไหนเวลาที่มีอาการซึมเศร้า และได้เคยให้ซีดีของท่านอาจารย์ไปลองฟัง ไม่แน่ใจว่าได้ฟังหรือยังเพราะเห็นภรรยาของเขาบอกว่ายากค่ะ ภรรยาเขาก็เคยพาไปที่วัดก็อยากกลับบ้าน...

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
suwit02
วันที่ 19 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาผู้ตอบทุกท่าน

และรวมทั้งผู้ถาม คุณ Natnicha ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Komsan
วันที่ 19 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
prakaimuk.k
วันที่ 20 ส.ค. 2551

ตอบความคิดเห็นที่ ๑๐ ค่ะ

อาจแนะนำให้ภรรยาฟังจากซีดีธรรมะที่บ้าน ในขณะที่ดูแลผู้ป่วยไปพร้อมๆ กัน อาจช่วยให้ได้ประโยชน์แก่ผู้ดูแล แก่ผู้ป่วยและแก่คนในบ้านด้วยค่ะ ผู้ที่ใกล้ชิดที่สุดจะเป็นผู้ที่ผู้ป่วยไว้วางใจที่สุด มักจะมีคำถามต่างๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตและความตายและจะระบายความรู้สึกให้ฟัง ภรรยาอาจจะใช้จุดนี้ในการค่อยๆ น้อมนำชักจูงให้เข้าใจธรรมบางเรื่องตามความเหมาะสมค่ะ....

ส่วนการไปวัดหรือไปในที่ที่มีคนพลุกพล่าน ยังไม่ควรกระทำบ่อยๆ ค่ะ เพราะจะเป็นการเพิ่มความเครียดและผล้กดันให้เขาถอยเข้าไปอยู่ในความซึมเศร้าซึ่งเขาคิดว่าเป็นโลกที่ปลอดภัยของเขาเพิ่มขี้นไปอีก ซึ่งเป็นอาการหลักอย่างหนึ่งของโรคนี้ ทำให้การรักษาไม่ได้ผลเท่าที่ควรค่ะ

ขอให้กำลังใจอีกทีค่ะ ขออนุโมทนาคุณ Natnicha และทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ปริศนา
วันที่ 20 ส.ค. 2551

พระสัทธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไม่ใช่จะฟังแล้วเข้าใจได้ง่ายๆ ค่ะ โดยเฉพาะเวลาที่อกุศลกลุ้มรุมมากๆ ควรทานยาคือ รักษาโรคทางกาย (สารเคมีในสมองไม่ปกติ) โดยการดูแลของจิตแพทย์ ให้บรรเทาในระดับหนึ่งก่อน ประมาณสัก ๒ อาทิตย์อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ถ้าได้ยาที่ถูกกับโรคบางรายอาจต้องลองยาอยู่นาน กว่าจะพบยาที่ถูกกับโรคเพราะร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกันเช่นยาตัวเดียวกันบางคนทานได้ผล บางคนทานแล้วแพ้ยาก็มี ถ้าดูแลดี สิ่งแวดล้อมเป็นสัปปายะ ทานยาสม่ำเสมอจนอาการดีขึ้นแล้ว เช่น ทานได้ นอนหลับ ทำงานได้เป็นปกติ ค่อยแนะนำให้ศึกษาพระธรรม ด้วยความสมัครใจ เพราพระธรรมไม่สาธารณะ เขาต้องมีอัธยาศัยในทางธรรมด้วย.

ช่วงเวลาที่เขาพูดรู้เรื่อง หมายถึง อาการทางกายบรรเทาลง ท่านผู้ถามอาจเกื้อกูลเขาได้ด้วยการแนะนำว่าเจริญกุศลทุกประการ แล้วจะเห็นคุณค่าของกุศลว่าในขณะที่กุศลจิตเกิด จิตใจจะเบา อ่อนโยน สงบ มีความแตกต่างจากขณะที่ จิตหนักอึ้งไปด้วยความเศร้าอย่างไร?

แนะนำให้เห็นความแตกต่างระหว่างกุศล และอกุศลด้วยตัวเขาเอง. แต่ต้องไม่ลืมว่า โลกธรรมนั้นวนเวียนอยู่เสมอดีขึ้นได้ก็แย่ลงอีกได้ เพราะไม่หายขาด ถ้ามีเหตุปัจจัยขนาดคนปกติยังอารมณ์แปรปรวนได้เลยค่ะ (แต่หายเองได้) คงไม่ต้องพูดถึงคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ ว่ามีความเสี่ยงมากกว่าจึงควรระวังเรื่องเหตุปัจจัยให้มาก เท่าที่จะระวังได้ดูแลเรื่องการนอนให้ดี อย่าอดนอน อย่าดื่มเหล้า.

อาการดีเพรส (depressive) ช่วงเวลาที่รุ้สึกแย่หายไป อาการแมเนีย (manic) ช่วงเวลาที่แอคทีฟผิดปกติ มักจะมาแทนถ้าไม่ได้ทานยารักษาระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติให้คงที่ก็จะ "เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย" "ไม่ซึมก็ซ่าส์" วนเวียนอยู่อย่างนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องอยู่ในการดูแลของจิตแพทย์ทานยาให้สม่าเสมอ เพราะเป็นโรคเรื้อรังและไม่หายขาด มีปัจจัยเมื่อไหร่อาการก็กำเริบอีกค่ะ มีผู้ป่วยหลายราย ที่ยังพอประทังชีพอยู่กับโรคนี้ได้ด้วยการศึกษาพระธรรม หากไม่ฆ่าตัวตายหนีความจริงไปเสียก่อนเพราะโรคนี้เป็นแล้วไม่ตาย แต่จะทุกข์ใจมากจนอยากตาย.

สาเหตุของโรคนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะรู้ได้แน่ชัด ได้แต่คาดคะเนกันไป แต่ที่แน่ๆ เมื่อเป็นแล้วก็รักษากันไปตามอาการและให้อาหารเสริมที่ดีที่สุดคือ พระธรรม ที่ไม่เพียงเป็นผลดีต่อชีวิต ที่เหลือในชาตินี้แต่ยังเป็นเหตุสะสมเป็นปัจจัยที่ดี ที่จะติดตามไปในชาติต่อๆ ไปด้วย. หากไปได้ไกลจนสุดทาง "มรรค" แล้วก็เป็นวิธีเดียวที่จะไม่ต้องกลับมาเกิดอีกและเป็นโรคนี้ หรือโรคใดๆ อีกเลยค่ะ.



ธรรม รักษา ผู้ประพฤติธรรม.ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
Pararawee
วันที่ 20 ส.ค. 2551

เป็นอกุศลนั่นเอง............อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
pornpaon
วันที่ 20 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาคุณ natnicha และในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
opanayigo
วันที่ 22 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาทุกความเห็นค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ เราคงเป็นผู้มีภัยในชีวิต

"ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ"

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
natnicha
วันที่ 22 ส.ค. 2551

ขอขอบพระคุณกำลังใจจากทุกท่านนะคะ

มีข้อสงสัยอีกอย่างหนึ่งค่ะ ได้อ่านรายละเอียดของโรคชนิดนี้ พบว่ามีสาเหตุมาจากความผิดปกติของสมอง การทำงานของสมองและสารเคมีในสมองที่ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทแปรปรวนไป แต่ทางพุทธศาสนาสมองเป็นเพียงรูป อย่างเช่นความคิดเห็นที่ ๕ ที่กล่าวว่า สาเหตุน่าจะเกิดจาก การสะสมอกุศล โทสะ โลภะ โมหะ

จึงอยากทราบว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของโรคคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
paderm
วันที่ 22 ส.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

โรคที่ป่วยทางจิต ชื่อก็บอกแล้วว่าป่วยทางจิต ดังนั้นเกิดจากความวิปลาสของจิตที่เห็นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก คืออกุศลจิตเกิดบ่อยๆ และมีกำลัง จึงสามารถแสดงความผิดปกติอย่างมากออกมาทางกายซึ่งต้นเหตุก็คือกิเลสนั่นเอง หากไม่มีกิเลส อกุศลจิตก็เกิดไม่ได้ และอีกประเด็นหนึ่งเพราะวิบากกรรมที่ป็นผู้เสพสุราเมรัยให้ผล วิบากอย่างเบาที่สุดทำให้บุคคลนั้นเป็นบ้า แต่ก็เพราะบ้าได้ก็เพราะมีกิเลสอีกนั่นเองครับ โดยสูงสุดรากเหง้าคือ ความไม่รู้ เพราะอวิชชา กิเลสประการต่างๆ จึงตามมาและทำให้เกิดอกุศลจิตประเภทต่างๆ ที่สำคัญขณะที่อกุศลจิตเกิด ทุกท่านก็วิปลาสแล้วเพียงแต่ไม่มีกำลังถึงขนาดคนบ้านั่นเอง ไม่ประมาทในการอบรมปัญญานะครับ อนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
ปริศนา
วันที่ 23 ส.ค. 2551

โรคประสาท ไม่ใช่โรคจิตค่ะ โรคประสาทนั้น ผู้ป่วยยังรู้ตัวว่าป่วย แต่โรคจิต ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าป่วย.

ผู้ที่รู้ว่าวิบากนี้มีสาเหตุมาจากกรรมอะไรมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
ต้องขอประทานโทษนะคะ....ที่จะกล่าว! คิดไป ก็ไม่ได้คำตอบทีแท้จริงแต่ที่แน่ๆ
อกุศลวิบาก ทุกประการต้องมีสาเหตุมาจาก อกุศลกรรม แน่นอนนี่คือสัจธรรม ที่ควรพิจารณารู้เพื่ออะไร? เพื่อไม่ประมาท ในเรื่องของกรรมตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษาและศึกษาได้จากในพระไตรปิฎกโดยอาศัยกัลยาณมิตร ผู้มีปัญญาเพื่อความไม่คลาดเคลื่อนในอรรถะเพราะพระธรรมลึกซึ้งไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายและหากหลงทาง เข้าใจผิดก็ไม่มีทางที่จะได้พบกับพระธรรมที่แท้จริงเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
paderm
วันที่ 23 ส.ค. 2551

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การดื่มน้ำเมาคือ สุราและเมรัยอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำไห้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย

วิบากแห่งการดื่มสุราและเมรัยอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความเป็นบ้าให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์. (สัพพลหุสสูตรที่ ๑๐) ดังนั้นสาเหตุที่แท้จริงเพราะมีอกุศล มีกิเลส เพระถ้าไม่มีกิเลสแล้วก็จะไม่เกิด เพราะมีกิเลสจึงเกิด จึงมีขันธ์ 5 มีการทำอกุศลกรรมและได้รับวิบากกรรมครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
vad
วันที่ 23 ส.ค. 2551

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ