อภยสูตร - ความไม่รู้ความไม่เห็นมีเหตุมีปัจจัย - ๓๐ ส.ค. ๒๕๕๑

 
บ้านธัมมะ
วันที่  25 ส.ค. 2551
หมายเลข  9669
อ่าน  1,807

สนทนาธรรมที่ ...

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ ๓๐ ส.ค. ๒๕๕๑ เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐น. คือ

๒. อภยสูตร

ความไม่รู้ความไม่เห็นมีเหตุมีปัจจัย

[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๒๙


[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๒๙

๒. อภยสูตร

ความไม่รู้ความไม่เห็นมีเหตุมีปัจจัย

[๖๒๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น อภัยราชกุมารเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ตรัสทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า [๖๒๘] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปุรณกัสสปกล่าวอย่างนั้นว่าเหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี เพื่อความไม่รู้ เพื่อความไม่เห็น ความไม่รู้ความไม่เห็น ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี เพื่อความรู้เพื่อความเห็น ความรู้ ความเห็น ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ดังนี้. ในเรื่องนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างไร. [๖๒๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนราชกุมารเหตุมี ปัจจัยมี เพื่อความไม่รู้ เพื่อความไม่เห็น ความไม่รู้ ความไม่เห็น มีเหตุ มีปัจจัย เหตุมี ปัจจัยมี เพื่อความรู้ เพื่อความเห็นความรู้ ความเห็น มีเหตุ มีปัจจัย. [๖๓๐] อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหตุเป็นไฉน ปัจจัยเป็นไฉน เพื่อความไม่รู้ เพื่อความไม่เห็น ความไม่รู้ ความไม่เห็น มีเหตุ มีปัจจัย อย่างไร. [๖๓๑] พ. ดูก่อนราชกุมาร สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยกามราคะ อันกามราคะเหนี่ยวรั้งไป และย่อมไม่รู้ ไม่เห็น อุบายเป็นเครื่องสลัดออก ซึ่งกามราคะที่บังเกิดขึ้นแล้ว ตามความเป็นจริงแม้ข้อนี้แล ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความไม่รู้ เพื่อความไม่เห็นความไม่รู้ ความไม่เห็น มีเหตุ มีปัจจัย แม้ด้วยประการฉะนี้. [๖๓๒] ดูก่อนราชกุมาร อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยพยาบาท. . . [๖๓๓] ดูก่อนราชกุมาร อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยถีนมิทธะ. . . [๖๓๔] ดูก่อนราชกุมาร อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยอุทธัจจกุกกุจจะ . . . [๖๓๕] ดูก่อนราชกุมาร อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยวิจิกิจฉา อันวิจิกิจฉาเหนี่ยวรั้งไป และย่อมไม่รู้ไม่เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งวิจิกิจฉาที่บังเกิดขึ้นแล้ว ตามความเป็นจริง แม้ข้อนี้แล ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัย เพื่อความไม่รู้ เพื่อความไม่เห็นความไม่รู้ ความไม่เห็น มีเหตุ มีปัจจัย ด้วยประการฉะนี้. [๖๓๖] อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมปริยายนี้ ชื่ออะไร. พ. ดูก่อนราชกุมาร ธรรมเหลานี้ ชื่อ นิวรณ์. อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นิวรณ์เป็นอย่างนี้ ข้าแต่พระสุคต นิวรณ์เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลถูกนิวรณ์แม้อย่างเดียวครอบงำแล้ว ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริงได้ จะกล่าวไปไยถึงการถูกนิวรณ์ทั้ง ๕ ครอบงำแล้ว. [๖๓๗] อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เหตุเป็นไฉน ปัจจัยเป็นไฉน เพื่อความรู้ เพื่อความเห็น ความรู้ ความเห็น มีเห็น มีปัจจัย อย่างไร. [๖๓๘] พ. ดูก่อนราชกุมาร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ เธอเจริญสติสัมโพฌงค์อยู่ ย่อมรู้ ย่อมเห็นตามความเป็นจริง ด้วยจิตนั้น แม้ข้อนี้แล ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความรู้เพื่อความเห็น ความรู้ความเห็น มีเหตุ มีปัจจัย ด้วยประการฉะนี้. [๖๓๙] ดูก่อนราชกุมาร อีกประการหนึ่ง ฯลฯ ภิกษุย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธน้อมไปในการสละ เธอเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์อยู่ ย่อมรู้ ย่อมเห็นตามความเป็นจริงด้วยจิตนั้น แม้ข้อนี้แล ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อความรู้ เพื่อความเห็น ความรู้ ความเห็น มีเหตุ มีปัจจัย ด้วยประการฉะนี้. [๖๔๐] อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมปริยายนี้ ชื่ออะไร. พ. ดูก่อนราชกุมาร ธรรมเหล่านั้น ชื่อ โพชฌงค์. อ. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า โพชฌงค์เป็นอย่างนี้ ข้าแต่พระสุคต โพชฌงค์เป็นอย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลผู้ประกอบด้วยโพชฌงค์ แม้อย่างเดียว พึงรู้ พึงเห็นตามความเป็นจริงได้ จะกล่าวไปไยถึงการที่ประกอบด้วยโพชฌงค์ทั้ง ๗ เล่า. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ขึ้นภูเขาคิชฌกูฏแม้ความเหน็ดเหนื่อยกาย ความเหน็ดเหนื่อยใจของข้าพระองค์ ก็สงบระงับแล้ว และธรรมข้าพระองค์ก็ได้บรรลุแล้ว.

จบอภยสูตรที่ ๖


อรรถกถาอภยสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาอภยสูตรที่ ๖. บทว่า อญฺญาณาย อทสฺสนาย ได้แก่ เพื่อความไม่รู้เพื่อความไม่เห็น. บทว่า ตคฺฆ ภควา นีวรณา ได้แก่ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้านิวรณ์โดยส่วนเดียว. บทว่า กายกิลมโถ คือ ความกระวนกระวายทางกาย. บทว่า จิตฺตถิลมโถ คือ ความกระวนกระวายทางจิต. บทว่า โสปิ เม ปฏิปฺปสฺสทฺโธ ความว่า ได้ยินว่า ความกระวนกระวายกายของพระราชกุมารนั้น เข้าไปยังที่สัปปายะแห่งฤดูก็เยือกเย็น นั่งในสำนักของพระศาสดาก็สงบระงับแล้ว . เมื่อกายนั้นสงบ แม้ความกระวนกระวาย จิตก็สงบ โดยคล้อยตามกายนั้นแล. อีกอย่างหนึ่ง ความกระวนกระวายกายและจิตแม้ทั้งสองนั้นของพระราชกุมารนั้น พึงทราบว่า สงบระงับแล้วด้วยมรรคนั้นแล

จบอรรถกถาอภยสูตรที่ ๖


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 25 ส.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pornpaon
วันที่ 25 ส.ค. 2551

นิวรณ์ทั้ง 5 มีเพียงข้อใดข้อหนึ่ง ก็ปิดบังความจริงของสภาพธรรมได้หมด

แต่พิจารณาดูตลอด 1 วัน แค่เฉพาะเวลาที่ไม่ได้หลับ

บางวัน มีนิวรณ์ครบ 5 ข้อ กลับไปกลับมา เกือบตลอดเวลาเลย

ยังเป็นผู้ประมาทอยู่จริงๆ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prakaimuk.k
วันที่ 26 ส.ค. 2551

พระสูตรลึกซึ้ง มีคุณค่ามาก ควรแก่การพิจารณาประพฤติปฏิบัติตามอย่างยิ่ง...

ขออนุโมทนาค่ะ....

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
พรรณี
วันที่ 28 ส.ค. 2551
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ค่ะ ที่นำพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเผยแผ่ให้แก่ผู้ที่ยังไม่เคยรู้หรือได้ยินเช่นนี้มาก่อนได้รู้และระลึกรู้ตาม ขอกราบขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ปริศนา
วันที่ 29 ส.ค. 2551

พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า

"ภิกษุ พึงพิจารณาดังนี้ว่า เราจักเจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้วหรือหนอ"................................................................ขออนุโมทนา.

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
นิด
วันที่ 29 ส.ค. 2551
สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
นิด
วันที่ 2 ก.ย. 2551
ขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
michii
วันที่ 16 ก.ย. 2551
ขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
swanjariya
วันที่ 27 พ.ย. 2556

อนุโมทนาขอบคุณค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ