แบบนี้จะเรียกว่าเป็นการเจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า?

 
พุทธรักษา
วันที่  30 ส.ค. 2551
หมายเลข  9711
อ่าน  988

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


แนวทางเจริญวิปัสนา ครั้งที่ ๑๓๑บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านผู้ฟัง อย่างเวลาผมเริ่มต้นที่เรียกว่าจะเจริญสติปัฏฐานนั้น คือตา ไปกระทบสี แล้วเกิดความรู้สึกว่าเห็นสีปรากฏขึ้นแล้วดับก็ไปแล้วเกิดเป็นความรู้สภาพรู้ ว่าเห็นแล้วก็ดับไปแล้วก็อาจจะมีสภาพความอยากรู้อยากเห็นสิ่งนั้น ว่าเป็นอะไร ที่เกิดขึ้นมา แล้วก็ดับไปแบบนี้จะเรียกว่าเป็นการเจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า

ท่านอาจารย์ ยังไม่อยากให้เรียกว่าได้เจริญสติปัฏฐานเพราะเหตุว่า ระลึกอย่างไร จึงรู้ว่าสีมากระทบตา แล้วมีการเห็นเกิดขึ้น

ท่านผู้ฟัง ก็สีกระทบ

ท่านอาจารย์ ระลึกอย่างไร จึงว่าสีกระทบแล้ว

ท่านผู้ฟัง ก็มีสภาพรู้

ท่านอาจารย์ สภาพรู้มีใช่ไหมคะ เดี่ยวนี้ สภาพกระทบเมื่อกี้นี้มีหรือเปล่าคะ ที่จะให้เกิดความรู้รู้ถึงลักษณะที่กระทบกันด้วยหรือคะ

ท่านผู้ฟัง แต่รู้ว่า เป็นสภาพรู้

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องมีเหตุผลด้วยว่าที่รู้ว่า เป็นคนละสภาพกันนั้นรู้จริงๆ เพราะระลึกอย่างไร? แต่ไม่ใช่เพราะระลึกว่า สีมากระทบตาก่อน

ท่านผู้ฟัง รู้ว่าสภาพของจริง กำลังปรากฏ ทางตา ทางหู

ท่านอาจารย์ เอาทีละทาง ทางตาก็ได้ที่จะรู้ว่าสีไม่ใช่การเห็นนั้นน่ะระลึกอย่างไรคะ แต่ว่าไม่ใช่โดยลักษณะที่ว่า เพราะสีมากระทบตา

ท่านผู้ฟัง ปรากฏอยู่ แต่สภาพรู้นั้น

ท่านอาจารย์ และที่ว่าอะไรเกิดก่อน รู้ได้อย่างไรคะ

ท่านผู้ฟัง กำหนดหมาย

ท่านอาจารย์ กำหนดหมาย อย่างไรคะ? กำหนดหมายว่าสีเกิดก่อนนี่กำหนดหมายอย่างไรคะ

ท่านผู้ฟัง เพราะว่าสีที่เห็นมากระทบตา

ท่านอาจารย์ นั่นไม่ใช่ เป็นการที่สติระลึกรู้ลักษณะของสี ไม่ใช่เป็นการที่สติระลึกรู้ลักษณะของเห็น แต่เป็นการคิดนึกเพราะฉะนั้น ในขณะนั้นถ้าระลึกรู้ว่าสภาพคิดนึกนั้น เป็นนามธรรม ไม่ใช่ ระลึกรู้ลักษณะของสี ไม่ใช่ระลึกรู้ลักษณะของเห็นรวดเร็วมาก ต้องทีละอย่าง แล้วก็ต้องชัด ต้องถูกต้องด้วยไม่ใช่ว่าปนกัน


ชนพาลทั้งหลาย มีปัญญาทราม มีตนเป็นดังข้าศึกเที่ยวทำกรรมลามก ซึ่งมีผล เผ็ดร้อนอยู่ คนพาล ย่อมสำคัญบาป ประดุจน้ำผึ้งตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล เมื่อใดบาปให้ผลเมื่อนั้น คนพาล ย่อมประสบทุกข์

คาถาธรรมบทพาลวรรคที่ ๕.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
wannee.s
วันที่ 30 ส.ค. 2551

ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จนชิน จนชำนาญและรู้ความหมายของสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเป็นสภาพธรรมต่างชนิด ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เป็นเรื่องของการรู้ แล้วละคลายความไม่รู้แต่ที่สำคัญต้องเป็นปกติธรรมดาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 31 ส.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ajarnkruo
วันที่ 31 ส.ค. 2551

สติปัฏฐานเป็นปัจจัจตัง (รู้ได้เฉพาะตนด้วยปัญญา) เกิดเมื่อไร ใช่หรือไม่ ตรวจสอบความเข้าใจจริงๆ กับผู้รู้ได้...

ขออนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prakaimuk.k
วันที่ 31 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านค่ะ โดยเฉพาะคุณปริศนา ที่กรุณานำการบรรยายธรรมต่างๆ ของท่านอาจารย์ ที่ท่านได้เน้นเรื่องการเจริญสติปัฏฐานอยู่เสมอๆ เพราะเป็นทางสายเอกทางเดียวที่จะนำไปสู่ปัญญาการรู้แจ้งชัดในอริยสัจจธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 1 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pornpaon
วันที่ 1 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
opanayigo
วันที่ 1 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
คุณ
วันที่ 3 ก.ย. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 13 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ