วิปัสสนาญาณ

 
พุทธรักษา
วันที่  31 ส.ค. 2551
หมายเลข  9716
อ่าน  993

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๓๑ บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์ ขณะจิตขณะหนึ่งนี้ เร็วสักเท่าไร ประมาณไม่ได้เลยเพราะว่าขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ก็เหมือนมีเห็นด้วย มีได้ยินด้วยดูเหมือนว่ามีพร้อมกันทันที แต่ความจริงแล้วจิตจะเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ แล้วดับไปทันทีแต่ปรากฏ เหมือนกับว่า ไม่มีการเกิดดับเลยเพราะเหตุว่าเกิดดับ อย่างรวดเร็วมาก นี่เป็นเหตุ ที่ทำให้เรายึดโลกว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลไม่ได้กระจัดกระจาย แยกรู้ "ลักษณะ"ของนามแต่ละชนิด ของรูปแต่ละชนิด

"ลักษณะของสภาพธรรม" แต่ละชนิดซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน เท่านั้นเอง การระลึกรู้ลักษณะของนามแต่ละชนิด ไม่ใช่ปนกันการระลึกรู้ลักษณะของรูปแต่ละชนิด ไม่ใช่ปนกันจึงจะประจักษ์ ว่าไม่ใช่ตัวตน เมื่อมีการละคลายความไม่รู้ มากขึ้น รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรม มากขึ้นที่เกิดดับสืบต่อกัน ตามปกติตามธรรมดามีความรู้ชัด มากขึ้นเท่าไหร่ละคลายความไม่รู้ มากขึ้นเท่าไหร่ก็จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปโดยไม่มีอะไรบังไว้.

ท่านผู้ฟัง รู้เอง

ท่านอาจารย์ อาศัยการเจริญสติแล้วปัญญาก็เกิดพร้อมกับสติสติที่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏนี่เป็นการเจริญปัญญาการประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปไม่ใช่ด้วยสมาธิ แต่เป็นปัญญาที่รู้ชัด ที่ชื่อว่า "วิปัสสนาญาณ" อาศัยการเจริญสติ แล้วก็รู้ลักษณะของนามและรูปมากขึ้น ชัดขึ้น ทั่วขึ้น

ท่านผู้ฟัง รู้ได้อย่างไร? มันเร็วเหลือเกิน จับไม่ได้สักที

ท่านอาจารย์ อยากจะประจักษ์ การเกิดดับของนามรูป ใช่ไหมคะ

ท่านผู้ฟัง ใช่ครับ

ท่านอาจารย์ โดยที่ไม่เจริญสติ หรือคะ

ท่านผู้ฟัง เอาสติสักแค่ไหน

ท่านอาจารย์ ไม่ใช่สติไหนค่ะ แต่หมายความว่าปัญญารู้ชัด เพิ่มขึ้น โดยที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามปัญญาก็รู้ว่า เป็นนาม

ท่านผู้ฟัง มันเป็นธรรมชาติคนละอย่าง

ท่านอาจารย์ ธรรมชาติคนละอย่างแต่อาศัยซึ่งกันและกันถ้าสติ ไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามปัญญา จะรู้ว่าเป็นนาม ไม่ได้ถ้าไม่เจริญสติ จะรู้ไม่ได้เลย การเจริญสติจริงๆ นั้นเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณา แล้วก็เทียบเคียงเสมอ ถ้าท่าน เริ่มระลึกรู้ลักษณะของนามทางหนึ่งแต่ยังไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของนาม ทางอื่น เป็นต้นว่า ถ้าท่านเริ่มระลึกรู้ลักษณะของได้ยินว่าเป็นสภาพรู้ ทางหู แต่ว่า ทางตา ยังไม่ได้เริ่มระลึกรู้เลย ท่านเอง จะต้องเป็นผู้ที่ พิจารณา เทียบเคียงธรรมะ ทางทวารต่างๆ เช่น ทางหู ขณะที่กำลังได้ยิน ก็รู้ว่าเป็นสภาพรู้ รู้ว่า คือ การได้ยิน ที่กำลังได้ยิน ในขณะนี้ทางตา ขณะที่กำลังเห็นว่า ก็รู้ว่าเป็นสภาพรู้ รู้ว่า คือ การเห็น ที่กำลังเห็น ในขณะนี้

ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่ และสรรพสัตว์

บุคคลใด ทำกรรมใดแล้วย่อมเดือดร้อนในภายหลังเป็นผู้มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้เสวยผลของกรรมใดอยู่กรรมนั้น อันบุคคล กระทำแล้ว ไม่ดีเลย บุคคล ทำกรรมใดแล้ว ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลังเป็นผู้เอิบอิ่ม มีใจดีย่อมเสวยผลของกรรมใดกรรมนั้นแลอันบุคคลทำแล้วเป็นกรรมดี

คาถาธรรมบทพาลวรรคที่ ๕


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ajarnkruo
วันที่ 1 ก.ย. 2551

อ่านแล้วรู้สึกดีมาก...

ขออนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 1 ก.ย. 2551

การระลึกรู้ลักษณะ ของนามแต่ละชนิด ไม่ใช่ปนกันการระลึกรู้ลักษณะ ของรูปแต่ละชนิด ไม่ใช่ปนกันจึงจะประจักษ์ ว่า ไม่ใช่ตัวตน

เมื่อมีการละคลายความไม่รู้ มากขึ้น รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรม มากขึ้นที่เกิดดับสืบต่อกัน ตามปกติตามธรรมดามีความรู้ชัด มากขึ้นเท่าไหร่ละคลายความไม่รู้ มากขึ้นเท่าไหร่ก็จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปโดยไม่มีอะไรบังไว้

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ

ขออนุโมทนาคุณปริศนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prakaimuk.k
วันที่ 1 ก.ย. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ....
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 1 ก.ย. 2551

วิปัสสนาญาณเป็นปัญญาที่รู้ชัด ประจักษแจ้งธรรมะ ส่วนความเข้าใจถูก เป็นปัญญาขั้นอบรม เริ่มรู้ความต่างกันของขณะที่หลงลืมสติ กับมีสติ คือ ระลึกตรงสภาพธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
opanayigo
วันที่ 1 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
suwit02
วันที่ 1 ก.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pamali
วันที่ 20 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ