แล้วจะทำยังไงให้ไม่เห็นเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน ล่ะคะ?
บ่อยครั้งที่พบคำถามนี้เวลาฟัง mp3
"ท่านอาจารย์คะ แล้วจะทำยังไงให้ไม่เห็นเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน ล่ะคะ"
ท่านอาจารย์ก็ตอบอย่างเมตตาเสมอๆ ว่า ทำไม่ได้ เพราะไม่มีเราจะไปทำ ขณะนี้ให้รู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ
ที่ว่าจะไม่ให้เห็นเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนนั้น เป็นโลภะที่อยากหรือเปล่า? เราเดือดร้อน ใช่ไหมคะ?
ถ้าอวิชชายังบดบังความจริงให้ยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตน ก็อบรมเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเดือดร้อน จะไม่ดีกว่าหรือคะ?
จะเห็นได้ว่า ปุถุชนแม้ยังห่างไกลการรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจจธรรม แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือการศึกษาธรรมะ หรือ การอบรมเจริญปัญญาระลึกในสภาพธรรมะตามความเป็นจริงในขณะนี้เอง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ทำไม่ได้จริงๆ ครับ แต่ค่อยๆ อบรมไปทีละเล็กทีละน้อยจะทำให้เข้าใจมากขึ้น
ขออนุโมทนา
ที่เห็นเป็นคน สัตว์ บุคคล ตัวตน เพราะเรามีอวิชชามาก ต้องอาศัยการฟัง การสังเกต
การพิจารณาธรรมที่ได้ยินได้ฟังมาด้วย ขณะทีหลงลืมสติก็เห็นเป็นบัญญัติ แต่ขณะที
สติเกิดระลึกตรงลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นหนทางเดียวที่ละความเป็นเราค่ะ
เมื่อความไม่รู้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและยึดสภาพธรรมที่เกิดดับว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลแล้ว ย่อมทำให้เกิดความยินดีพอใจ ความโกรธ และสภาพ
ธรรมอื่นๆ เมื่ออวิชชาปิดบังความจริงให้ยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล จึงต้องอบรมเจริญปัญญาระลึกในสภาพธรรมตามความเป็นจริงขณะนี้ ค่อยๆ อบรมเจริญความรู้ความเข้าใจเพื่อละความไม่รู้ เมื่อมีความเข้าใจในลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริงชัดขึ้น มั่นคงขึ้น จะเป็นเหตุปัจจัยให้สติเกิดระลึกรู้ ในสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนใดๆ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ทำไม่ได้ เพราะสภาพธรรมทั้งหลายมีปัจจัยจึงเกิดขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้ สภาพธรรมที่จะรู้ว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคลและตัวตน คือปัญญา ปัญญาเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง บังคับบัญชาไมได้ อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น โดยเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจก่อนว่าธรรมคืออะไร แต่ปัญญาเพียงขั้นฟังยังไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่สัตว์ บุคคลได้ ในเมื่อยังเป็นปัญญาขั้นการฟัง จึงจะทำให้รู้ว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคลไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของธรรมคือปัญญาอีกระดับขั้นหนึ่งคือ เมื่อสติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ทำไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่ของธรรม อบรมเหตุคือฟังพระธรรมต่อไป เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น การศึกษาธรรมจึงเป็นเรื่องเบา อนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ทำไม่ได้นะคะแต่อบรมเจริญสติปัฏฐานได้
เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมวิปัสสนาญาณเกิด
ประหารอวิชชา คือความไม่รู้และ ความยึดมั่นถือมั่นในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน คน สัตว์ สิ่งต่างๆ ด้วยปัญญาอันคมกล้าที่อบรมดีแล้วเมื่อเหตุสมควรแก่ผลเมื่อนามรูปปริจเฉททญาณเกิดดับความเห็นผิดเป็นสมุจเฉทบรรลุเป็นพระโสดาบันเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ หนทางนั้น มีอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายพระอรหันต์ทั้งหลายถึงแล้ว ทำกิจที่ควรทำจบแล้วด้วยเอกายนมรรคคือไม่พัก ไม่เพียรข้ามโอฆะ คือทะเลแห่งสังสารวัฏฏ์เราก็เดินตามหนทางนั้นมั่นคงในหนทางนั้นย่อมถึงฝั่งได้เช่นกันแต่เป็นจิรกาลภาวนา.นานหนอข้าพเจ้าจึงจะเห็นขีณาสวพราหมณ์ผู้ดับร้อนแล้ว
ไม่พัก ไม่เพียรอยู่ข้ามตัณหาเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในโลก โอฆตรณสูตร (ว่าด้วยการข้ามโอฆะ)
ขออนุโมทนา.
ทำยังไง ก็คือ ศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมะที่มีปรากฏในขณะนี้จนกว่าจะไม่เห็นผิดว่า...สามารถมีตัวตนไปทำอะไรได้ตามความต้องการ...ขออนุโมทนาครับ...
สภาพธรรมทั้งหลาย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครทำให้สภาพธรรมเกิดขึ้นได้เลย สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วสภาพธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เกิดแล้วมีแล้ว จึงมีการอบรมเจริญปัญญา ศึกษาให้เข้าใจฟังให้เข้าใจเรื่องของสภาพธรรมที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ จนกระทั่งปัญญา ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เจริญขึ้นเป็นไปตามลำดับขั้น จึงไม่มีการทำ ทำไม่ได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...