จะทำยังไงหากเจอคำถามเช่นนี้..........
เพื่อนร่วมงานท่านหนึ่งไม่เชื่อเรื่องธรรมของพระองค์ ทำให้รู้สึกว่าเขายังขาดความเข้าใจในพระธรรม และมีแน้วโน้มว่ายากที่จะเข้าใจ โดยความคิดเขายังอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้เท่านั้น
จะทำยังไงหากเจอคำถามเช่นนี้..........
1. พระพุทธองค์ เดินได้ตั้งแต่เกิด หรือมีลักษณะ 32 ประการที่วิเศษกว่าคนธรรมดาเขาบอกว่าเป็นการแต่งเติมให้คนสมัยก่อนมีความเชื่อ เพราะสมัยก่อนวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ ความมหัศจรรย์ทำให้คนเชื่อได้ง่าย
2. คนเราตายแล้วสูญเลย ไม่มีเกิดอีก การที่คนเห็นผีเป็นเรื่องเหลวไหล อาจเพราะว่าจิตใจหวาดกลัวเลยเกิดภาพหลอนขึ้นจนเห็นภาพ หรือตายแล้วฟื้นแล้วบอกว่าไปที่โน่นที่นี่เป็นแค่ความฝันเท่านั้น
3. การนั่งสมาธิแล้วเห็นแสง เกิดจากการที่สมองมีปฏิกริยาทางเคมีเกิดขึ้น การเห็นภาพหรือนิมิต เหมือนความฝัน
4. การที่มีอิทธิฤทธิ์ของคนบางคนเช่นเหาะ เดินอากาศเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะคนจะเหาะไม่ได้เลยเพราะโดยแรงโน้มถ่วงของโลก ยกเว้นมีเครื่องช่วยบิน ตัวเปล่าๆ บินเหาะไม่ได้
5. การที่มีศาสนาก็เพราะเป็นกุศโลบายให้คนคิดดี ทำดี ไม่ให้ทำชั่ว ไม่งั้นบ้านเมืองจะมีแต่คนชั่วซึ่งจะทำให้ปั่นป่วนเป็นบ้านเมืองเถื่อนแน่ แม้มีกฏหมายก็ตาม เพราะคนขาดศีลธรรม แต่จะบอกว่ามีบุญบาปไปนรกสวรรค์ไม่มีแน่เป็นเรื่องไร้สาระ
6. ถ้าจะบอกว่ามีบุญบาป คนทั้งโลกเชื่อบุญมี และเช้าวันพรุ่งนี้คนทุกคนปฏิบัติธรรมหมด ไม่ทำมาหากิน นั่งภาวนาหรือออกบวชหมดอะไรจะเกิดขึ้น? ใครจะมาหาข้าวให้กิน
ทั้งหมดนี้เขาใช้หลักคิดทางวิทยาศาสตร์ แล้วท่านจะมีวิธีช่วยให้เขารู้ธรรมมะได้อย่างไร หรือมีข้อแนะนำอย่างไร จะให้เขาเหล่านั้นยังหลงอยู่เช่นนี้หรือ
ศึกษาพระธรรมให้เป็นความเข้าใจ ของตนเองก่อนดีกว่าไหมคะ? พระธรรมวินัยสอนให้เข้าใจจิตใจของตนเองหากเข้าใจตรงแล้ว คุณอาจจะหายสงสัยเรื่องพวกนี้เพราะถ้ายังไม่มีความเข้าใจจากการศึกษาของตัวเองก็สงเคราะห์คนอื่นไม่ได้และจะมีคำถามที่มากมายไม่มีที่สิ้นสุดเข้าใจตัวเองก่อนแล้วจะเข้าใจคนอื่นควรฟังให้เข้าใจก่อน ฟังเพื่อรู้ สิ่งที่ยังไม่รู้
ค่อยๆ สะสมความรู้ไปก่อนแต่ยังดีกว่าไม่ศึกษาและไม่มีความรู้เลยนะคะ คำตอบก็อยู่ในพระธรรมนี้ละค่ะ เวลาก็เหลือน้อยแล้วจะเสียเวลาให้กับสิ่งที่ไม่เกื้อกูลปัญญาเพื่ออะไร? การสะสมมาของแต่ละคนก็เป็นอนัตตาโปรดใช้วิจารณญาณแล้วแต่จะเห็นสมควรเถิดค่ะ.
เป็นเรื่องยากที่จะไปทำให้คนอื่น มีศรัทธาในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกับเจ้าตัวเพราะศรัทธาและปัญญา เกิดจากสังขารขันธ์ปรุงแต่งแล้วแต่เหตุปัจจัยและการสะสมในกาลก่อนค่ะ ถ้าหากเค้าไม่เชื่อในอิทธิปาฏิหารย์ของผู้เลิศกว่าบุคคลใดในทุกๆ จักรวาลก็แล้วแต่เขาสิคะ
ข้าพเจ้าเคยสนทนากับคนรู้จัก ที่ขอคำอธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้าเทียบเคียงกับวิทยาศาสตร์ สนทนาไปก็เกิดแต่อกุศลค่ะ โทสะ มานะ อะไรมาเต็มไปหมด.....
ไม่ดีเลยค่ะ แนะนำเท่าที่จะแนะนำได้ดีกว่า แล้วส่วนผู้นั้นจะมีความเห็นถูกเข้าใจถูกปัญญาเกิดขึ้นได้เองหรือเปล่า ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยแล้วกัน เป็นอนัตตาเหมือนที่คุณปริศนาว่าจริงๆ ค่ะ
อนุโมทนาสาวกที่ดีผู้เจริญปัญญาระลึกสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้ค่ะ
ขอเสริมความเห็นที่ ๑ ครับ ก็เพียงศึกษาพระธรรมให้เข้าใจความจริง ก็จะแก้ปัญหาและความสงสัยทั้งหมดได้ อนึ่ง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นเพียงความรู้เรื่องบัญญัติและรูปธรรมบางส่วนเท่านั้นเพราะเขาเป็นปุถุชนคนที่หนาด้วยกิเลส ไม่มีปัญญา ไม่มีฌานจิต ไม่มีตาทิพย์ เขาจึงไม่มีความสามารถรู้เห็นเรื่องของรูปที่เกิดจากสมุฏฐานต่างๆ ไม่รู้นามธรรมซึ่งละเอียดกว่ารูปซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็ว ไม่รู้กรรมและผลของกรรมที่วิจิตรซึ่งทำให้มีการเกิดขึ้นในภพภูมิที่วิจิตรต่างๆ กันตามกรรม และเขาไม่รู้นามธรรมที่ไม่เกิดดับด้วย ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้ศึกษาและไม่รู้จริงจึงไม่ควรปฏิเสธหรือวิจารณ์ในสิ่งที่ตนไม่รู้ไม่เห็น เพราะจะเป็นไปเพื่อทุกข์และมีโทษมากแก่ตน
ขอตอบเป็นความคิดเห็นส่วนตัวดังนี้ครับ
1. พระพุทธองค์ เดินได้ตั้งแต่เกิด หรือมีลักษณะ 32 ประการที่วิเศษกว่าคนธรรมดา เขาบอกว่าเป็นการแต่งเติมให้คนสมัยก่อนมีความเชื่อ เพราะสมัยก่อนวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ ความมหัศจรรย์ทำให้คนเชื่อได้ง่าย ก็น่าคิดว่า ทำไมต้องแต่งเติม? แต่งเติมเพื่ออะไร? พระพุทธเจ้าทรงต้องการอะไร? ในเมื่อพระพุทธองค์ทรงดับกิเลสด้วยพระองค์เองแล้ว จะยังทรงหวังอะไรจากผู้ที่เป็นสาวก นอกเสียจากจะทรงเกื้อกูลให้ผู้ที่เป็นสาวกถึงที่สุดซึ่งนิพพานอันเป็นธรรมนำกิเลสออกเสียได้ สิ่งที่มหัศจรรย์จริงๆ คือการดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เป็นสิ่งลึกซึ้งอยู่ภายใน ไม่ต้องทรงให้ใครมาเชื่อตาม แต่ผู้ฟังต้องพิสูจน์เอง ด้วยการศึกษาพระ ธรรมที่ทรงแสดง เทียบเคียง ตรวจสอบ ว่าผิดเพี้ยนไปจากความจริงหรือไม่
2. คนเราตายแล้วสูญเลย ไม่มีเกิดอีก การที่คนเห็นผีเป็นเรื่องเหลวไหล อาจเพราะว่าจิตใจหวาดกลัวเลยเกิดภาพหลอนขึ้นจนเห็นภาพ หรือตายแล้วฟื้นแล้วบอกว่าไปที่โน่นที่นี่เป็นแค่ความฝันเท่านั้น ไม่ต้องคิดไปไหนไกลเลยครับ มีใครปฏิเสธสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ว่า ไม่ มีจริง ได้ไหม? เท่านั้นแหละ บังคับให้ไม่ให้เห็นได้ไหม? ทำไมต้องเห็น? แล้วจะมาบอกว่าเป็นเราเห็นได้ไหม ถ้ามีเราเห็น ก็คือมีตัวตนที่ทำให้เห็นได้ ก็ต้องบังคับให้เห็นแต่สิ่งที่น่าปรารถนาโดยตลอดทั้งวันได้ แต่ความจริงทำไมถึงเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจด้วย เมื่อไม่ศึกษาก็ไม่รู้ว่า การเห็นแต่ละขณะเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนที่เห็น จะกล่าวไปใยถึงคนตาย เพราะที่เห็นในขณะนี้ ก็เป็นแต่เพียงธรรมะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ตายไปอย่างรวดเร็วทุกขณะๆ ต่างหาก เมื่อไม่รู้แจ้งถึงการเกิดดับ ก็เลยยึดถือว่าเป็นคนจริงๆ เป็นสัตว์จริงๆ ปะปนกันไปหมดทั้ง สิ่งที่เห็น ทั้งเรื่องราวที่คิด
3. การนั่งสมาธิแล้วเห็นแสง เกิดจากการที่สมองมีปฏิกริยาทางเคมีเกิดขึ้น การเห็นภาพหรือนิมิตเหมือนความฝัน ไม่นั่งสมาธิ ก็ยังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา จะสว่างมากหรือสว่างน้อย มีตัวตนของใครไป ทำให้ที่เห็นว่าสว่างๆ ในขณะนี้ เป็นไปตามความต้องการได้หรือไม่
4. การที่มีอิทธิฤทธิ์ของคนบางคนเช่นเหาะ เดินอากาศ เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะคนจะเหาะไม่ได้เลยเพราะโดยแรงโน้มถ่วงของโลก ยกเว้นมีเครื่องช่วยบิน ตัวเปล่าๆ บินเหาะไม่ได้เพราะเข้าใจผิดว่ามีคนที่เหาะได้ แต่ถ้าศึกษาก็จะรู้ว่าเป็นเพราะเหตุคือการอบรม เจริญจิตที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะอย่างบริบูรณ์ ส่วนผู้ที่อยากจะบินเพราะกิเลสก็คงจะต้องทำอย่างที่ท่านว่า
5. การที่มีศาสนาก็เพราะเป็นกุศโลบายให้คนคิดดี ทำดี ไม่ให้ทำชั่ว ไม่งั้นบ้านเมืองจะมีแต่คนชั่วซึ่งจะทำให้ปั่นป่วนเป็นบ้านเมืองเถื่อนแน่ แม้มีกฏหมายก็ตาม เพราะคนขาดศีลธรรม แต่จะบอกว่ามีบุญบาปไปนรกสวรรค์ไม่มีแน่เป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าไม่อ้างถึงศาสนา ความดีมีจริง จิตที่เป็นฝ่ายดีมีจริง ความชั่วมีจริง จิตที่เป็นฝ่ายชั่วมีจริง ที่คิดว่าเป็นคนดีคนชั่วมีจริงหรือเปล่า? หรือแค่คิดเท่านั้นเอง อะไรเป็นผลของความดี อะไรเป็นผลของความชั่ว ก็มีให้เห็นกันอยู่ทุกวัน เพียงแต่ขาด ความเข้าใจ ความใส่ใจที่จะพิจารณาความจริงในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง ทำไมแต่ ละคนมีหน้าตาไม่เหมือนกัน ทำไมถึงมีสัตว์เดรัจฉานหน้าตาประหลาดๆ มากมาย หรือแม้แต่ตนเอง ทำไมถึงต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะธรรมชาติอะไรที่ทำให้เป็น อย่างนั้น? เรามองข้ามด้วยความไม่รู้ความจริงมาโดยตลอด
6. ถ้าจะบอกว่ามีบุญบาป คนทั้งโลกเชื่อบุญมี และเช้าวันพรุ่งนี้คนทุกคนปฏิบัติธรรมหมด ไม่ทำมาหากิน นั่งภาวนา หรือออกบวชหมดอะไรจะเกิดขึ้น? ใครจะมาหาข้าวให้กิน
เพราะไม่เข้าใจคำว่า "ปฏิบัติธรรม" จึงคิดโยงไปเพียงว่า การปฏิบัติธรรม คือการ ไปทำบุญ ถ้าหาก"เรา" หรือ"ใคร" ปฏิบัติธรรมก็เกิดความห่วงใยในปากท้อง แต่ความจริงแล้วไม่มีใครปฏิบัติธรรม มีแต่ธรรมปฏิบัติธรรม แต่เพราะไม่รู้ก็เลยเป็นเรา ถ้าคิดว่าเป็นเราจริงๆ ก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ที่สำคัญกว่า คือกำลังมีเราที่จะไปเอาความ เป็นเขาออกจากตัวเขา ด้วยความเป็นเราหรือเปล่า ธรรมะที่เกิดกับแต่ละคนเป็นไป ตามการสะสมมาครับ ไม่ควรลืมข้อนี้เลย
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุคคลผู้เลิศที่สุดในโลก เจริญที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก ไม่มีใครที่จะมาเสมอเหมือนกับพระองค์ได้ กว่าพระองค์จะทรงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยกับอีกแสนกัปป์ เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาที่จะเปลื้องหมู่สัตว์ออกจากกองทุกข์ทั้งปวง จึงได้ทรงแสดงพระธรรม ทรงแสดงสิ่งที่มีจริง เกื้อกูลแก่เวไนยสัตว์ (ผู้พอจะแนะนำได้) สิ่งที่มีจริงที่พระองค์ทรงแสดงนั้นไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ดังนั้น เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริง จึงควรที่จะศึกษา ควรที่จะฟังให้มีความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง เป็นปัญญาของตนเอง เพราะได้ฟังได้ศึกษา ความรู้ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
* * * ขออนุโมทนาทุกความคิดเห็นค่ะ * * *
ความคิด ความเชื่อ และความเข้าใจ เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยตามการสะสมมาของแต่ละบุคคลจริงๆ ชาวพุทธที่เชื่อเรื่องกรรมแต่กลับบอกว่า ไม่มั่นใจเรื่องชาติก่อนชาติหน้าจะมีจริง ก็ยังมีอีกเยอะแยะ หากเขาไม่ยินดีฟัง ก็ป่วยการเปล่าที่จะบอกเล่าถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขณะนี้เราเป็นทั้งคนค่อมและบอดหนวก ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในห้วงน้ำใหญ่ มีกำลัง มีศรัทธา มีความเข้าใจถูก เป็นที่พึ่งให้ตนเองก่อนเถอะค่ะ เพราะยังต้องเวียนว่ายอยู่ในห้วงน้ำนี้กันอีกนาน
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
1. พระพุทธองค์ เดินได้ตั้งแต่เกิด หรือมีลักษณะ 32 ประการที่วิเศษกว่าคนธรรมดาเขาบอกว่าเป็นการแต่งเติมให้คนสมัยก่อนมีความเชื่อ เพราะสมัยก่อนวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ ความมหัศจรรย์ทำให้คนเชื่อได้ง่าย
มีคำกล่าวที่น่าคิดคำหนึ่งว่า เราชอบเอาตัวของเราเอง ไปเปรียบเทียบกับบุคคลผู้เลิศอบรมบารมีมาจนสามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังนั้นพระองค์ย่อมพิเศษกว่าบุคคลอื่นๆ ใดๆ ในโลกเพราะผลของบุญที่พระองค์ทำมา สัตว์เดรัจฉาน บางพวกเกิดมายังเดินได้ จะนับประสาอะไรกับบุคคลที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คงจะห้ามให้แต่ละบุคคลที่ไมได้ศึกษาธรรม มาเชื่ออย่างนี่ได้เพราะเป็นเรื่องของศรัทธาและความเข้าใจพระธรรม
2. คนเราตายแล้วสูญเลย ไม่มีเกิดอีก การที่คนเห็นผีเป็นเรื่องเหลวไหล อาจเพราะว่าจิตใจหวาดกลัวเลยเกิดภาพหลอนขึ้นจนเห็นภาพ หรือตายแล้วฟื้นแล้วบอกว่าไปที่โน่นที่นี่เป็นแค่ความฝันเท่านั้น
หากยังไม่ได้ศึกษาพระธรรมก็ย่อมเข้าใจผิดไป ขณะนี้มีสภาพธรรม เกิดขึ้นและดับไปเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นเกิดต่อไปอีก เมื่อยังไมได้ดับกิเลสดังนั้นไม่ใช่ตายแล้วสูญ แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกันไป หากแต่ว่าเมื่อมีสภาพธรรมแล้วจึงบัญญัติเป็นสัตว์ บุคคล เป็นภพภูมิต่างๆ แม้ที่ว่าเป้นผีก็เป็นเพียงภพภูมิหนึ่ง แต่ก็คือสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นและดับไปสืบต่อกันไป
3. การนั่งสมาธิแล้วเห็นแสง เกิดจากการที่สมองมีปฏิกริยาทางเคมีเกิดขึ้น การเห็นภาพหรือนิมิต เหมือนความฝัน
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ... . ทำไมไม่เห็นด้วยกับสมาธิ
4. การที่มีอิทธิฤทธิ์ของคนบางคน เช่น เหาะ เดินอากาศ เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะคนจะเหาะไม่ได้เลยเพราะโดยแรงโน้มถ่วงของโลก ยกเว้นมีเครื่องช่วยบิน ตัวเปล่าๆ บินเหาะไม่ได้
แน่นอนว่าคนที่มีไม่ได้อบรมเหตุให้แสดงฤทธิ์ได้ย่อมแสดงฤทธ์ไมได้ แต่ควรเข้าใจว่า การที่จะเหาะได้นั้นไม่ด้หมายความว่ามีเหตุเดียว หากบุคคลใดอบรมจิตจนถึงระดับหนึ่ง นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งที่สามารถทำให้แสดงฤทธิ์ได้
5. การที่มีศาสนาก็เพราะเป็นกุศโลบายให้คนคิดดี ทำดี ไม่ให้ทำชั่ว ไม่งั้นบ้านเมืองจะมีแต่คนชั่วซึ่งจะทำให้ปั่นป่วนเป็นบ้านเมืองเถื่อนแน่ แม้มีกฏหมายก็ตาม เพราะคนขาดศีลธรรม แต่จะบอกว่ามีบุญบาปไปนรกสวรรค์ไม่มีแน่เป็นเรื่องไร้สาระ
เพราะมีความจริงจึงมีพุทธศาสนา มีความจริงที่เป็นสภาพธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และอนัตตา มีความจริงที่เป็นสิ่งที่ดีและไม่ดี มีความจริงที่ทำให้เกิดทุกข์ มีความจริงที่เป็นหนทางดับทุกข์ ดังนั้นเพราะมีความจริง พระพุทธเจ้าจึงอุบัติขึ้นตรัสรู้ความจริงแล้วแสดงความจริงให้ผู้อื่นได้รู้ตาม พุทธศาสนาจึงเป็นคำสอนให้รู้ความจริง ไม่ใช่เพียงแค่ให้ทำดี ไม่ทำชั่ว หากไม่รู้ความจริงๆ แล้ว ก็ไม่รู้จักความดี ความชั่ว และไม่รู้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด แม้การไม่เชื่อในเรื่องภพภูมิ
6. ถ้าจะบอกว่ามีบุญบาป คนทั้งโลกเชื่อบุญมี และเช้าวันพรุ่งนี้คนทุกคนปฏิบัติธรรมหมด ไม่ทำมาหากิน นั่งภาวนา หรือออกบวชหมดอะไรจะเกิดขึ้น ? ใครจะมาหาข้าวให้กิน ก็แค่เรื่องสมมติ แม้คนที่พูดอย่างนี้ก็คงไม่ทำอย่างนั้น ก็สัตว์ทั้งหลายสะสมมาต่างๆ กันตามความเป็นจริง ต้องเข้าใจว่าพระธรรมไม่ได้แยกจากชีวิตประจำวัน มีจริงในขณะนี้ ดังนั้นผู้ที่ศึกษาพระธรรมก็คือการใช้ชีวิตเป็นปรกติแต่มีปัญญานั่นเองที่เข้าใจความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ ขออนุโมทนา สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่า พระธรรมไม่สาธารณะ ช่วยเท่าที่ช่วยได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ช่วยสัตว์โลกไมได้หมด หากเขาไม่มีอุปนิสัยและไม่มีศรัทธา ควรศึกษาให้ตัวเองมีความเข้าใจถูกเป็นสำคัญ ฝ่ามือเราคงไม่สามารถทำให้แผ่นดินของโลกทั้งโลกเรียบเสมอกันหมดได้
ขออนุโมทนา อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาท่านกัลญาณมิตรทุกท่าน
คำตอบของทุกท่านเป็นประโยชน์มากครับ
โดยเฉพาะความเห็นที่ ๑
ข้าพเจ้าเห็นว่า ควรใส่ใจพิจารณาให้มาก จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ