อาสวะ ๔...ทรงอุปมากามาสวะ เหมือนมีดหั่นเนื้อและเขียง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๓๓ บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
บางท่านได้ยินคำว่า กิเลส บางท่านได้ยินคำว่า อาสวะและท่านก็อาจจะไม่ทราบว่าทำไม บางครั้งใช้คำว่า กิเลสและบางครั้งใช้คำว่า อาสวะ ซึ่งความจริงแล้ว (โดยละเอียด) สภาพของอกุศลธรรมทั้งหมดเป็นเจตสิก ๑๔ ดวง (ประเภท) แต่ว่ามีกิจ (การงาน) ในวันหนึ่งๆ ตามประเภทของสภาพธรรมนั้นๆ เช่น อาสวะ เป็นอกุศลธรรม ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๔ ประเภท
อาสวะ ๔ ได้แก่ กามาสวะ ๑ ภวาสวะ ๑ ทิฏฐาสวะ ๑ อวิชชาสวะ ๑
กามสวะ คือสภาพที่ไหลไปตาม รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะด้วยความยินดี พอใจ เพลิดเพลิน
ภวาสวะ คือความยินดีพอใจ ได้แก่ โลภเจตสิก สภาพที่มีความยินดี มีความต้องการ ในภพ ในชาติหรือว่าในขันธ์ทั้ง ๕ นั่นเอง ความยินดีพอใจนี้ ไม่ได้เป็นไปแต่ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเท่านั้นแต่ยังยินดีที่จะเห็น ได้ยิน มีชีวิตต่อๆ ไปเป็นภพ เป็นชาติ สืบต่อไป นี่เป็นความยินดีในภพ ซึ่งทุกท่านมี ถ้าไม่เจริญสติจะหมดไปไม่ได้เลย
ทิฏฐาสวะ คือความเห็นผิดยินดี ยึดมั่น ในความเห็นผิด ว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน
อวิชชาสวะ คือการที่ไหลไป หลงไปด้วยความไม่รู้สภาพความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ
ถ้าสติไม่เกิด ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงก็ไม่สามารถที่จะละอาสวะ เหล่านี้ได้เลย และ การละอาสวะทั้ง ๔ นั้นจะยากสักแค่ไหน
สำหรับกามาสวะ หรือ ความยินดี ความพอใจความหลงไหลไปตามอารมณ์ที่เป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในปปัญจสูทนีย์ ซึ่งเป็นอรรถกถาของมัชฌิมนิกาย อุปมาว่าความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นั้น อุปมาเหมือนกับมีดหั่นเนื้อและเขียง คนวางเนื้อบนเขียงแล้ว สับด้วยมีด ฉันใดสัตว์ทั้งหลายก็ถูก กิเลสกาม เบียดเบียนอยู่ เพราะต้องการวัตถุกาม ชื่อว่าถูกสับโขกด้วยกิเลสกามบนวัตถุกาม เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสให้ละ ฉันทราคะในกามคุณ ๕
เมื่อมีกามราคะ คือความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเกิดขึ้น สิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว ปรากฏแล้ว เพราะมีเหตุปัจจัยสติก็ระลึกรู้ทันทีเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานซึ่งเป็นปกติ เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ถ้ายิ่งศึกษาพระธรรมวินัย โดยละเอียดท่านก็ยิ่งจะเข้าใจชัดเจนขึ้น ถึงการละกิเลสว่า ควรเจริญอย่างไร ไม่ใช่ไปบังคับ ไม่ใช่ไปฝืน เพราะเหตุว่า กามราคะ หรือ กามาสวะ นั้นจะหมดสิ้นไปได้ก็ต่อเมื่อบรรลุอริยสัจธรรมเป็นพระอนาคามี และพระอรหันต์ ถ้าเป็นพระโสดาบันบุคคล หรือพระสกทาคามีบุคคลก็ยังมีกามาสวะ แต่ไม่มีทิฏฐาสวะนี่เป็นสิ่งที่ควรเข้าใจด้วย
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่ คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์
รู้...แล้วละ ถ้าสติไม่เกิด ระลึกรู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริงก็ไม่สามารถที่จะละ อาสวะ เหล่านี้ได้เลย
ขออนุโมทนาค่ะ