อาสวะ ๔...ทรงอุปมากามาสวะ เหมือนมีดหั่นเนื้อและเขียง

 
พุทธรักษา
วันที่  8 ก.ย. 2551
หมายเลข  9790
อ่าน  4,629

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๓๓ บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

บางท่านได้ยินคำว่า กิเลส บางท่านได้ยินคำว่า อาสวะและท่านก็อาจจะไม่ทราบว่าทำไม บางครั้งใช้คำว่า กิเลสและบางครั้งใช้คำว่า อาสวะ ซึ่งความจริงแล้ว (โดยละเอียด) สภาพของอกุศลธรรมทั้งหมดเป็นเจตสิก ๑๔ ดวง (ประเภท) แต่ว่ามีกิจ (การงาน) ในวันหนึ่งๆ ตามประเภทของสภาพธรรมนั้นๆ เช่น อาสวะ เป็นอกุศลธรรม ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๔ ประเภท

อาสวะ ๔ ได้แก่ กามาสวะ ๑ ภวาสวะ ๑ ทิฏฐาสวะ ๑ อวิชชาสวะ ๑

กามสวะ คือสภาพที่ไหลไปตาม รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะด้วยความยินดี พอใจ เพลิดเพลิน

ภวาสวะ คือความยินดีพอใจ ได้แก่ โลภเจตสิก สภาพที่มีความยินดี มีความต้องการ ในภพ ในชาติหรือว่าในขันธ์ทั้ง ๕ นั่นเอง ความยินดีพอใจนี้ ไม่ได้เป็นไปแต่ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเท่านั้นแต่ยังยินดีที่จะเห็น ได้ยิน มีชีวิตต่อๆ ไปเป็นภพ เป็นชาติ สืบต่อไป นี่เป็นความยินดีในภพ ซึ่งทุกท่านมี ถ้าไม่เจริญสติจะหมดไปไม่ได้เลย

ทิฏฐาสวะ คือความเห็นผิดยินดี ยึดมั่น ในความเห็นผิด ว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน

อวิชชาสวะ คือการที่ไหลไป หลงไปด้วยความไม่รู้สภาพความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ

ถ้าสติไม่เกิด ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงก็ไม่สามารถที่จะละอาสวะ เหล่านี้ได้เลย และ การละอาสวะทั้ง ๔ นั้นจะยากสักแค่ไหน

สำหรับกามาสวะ หรือ ความยินดี ความพอใจความหลงไหลไปตามอารมณ์ที่เป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในปปัญจสูทนีย์ ซึ่งเป็นอรรถกถาของมัชฌิมนิกาย อุปมาว่าความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นั้น อุปมาเหมือนกับมีดหั่นเนื้อและเขียง คนวางเนื้อบนเขียงแล้ว สับด้วยมีด ฉันใดสัตว์ทั้งหลายก็ถูก กิเลสกาม เบียดเบียนอยู่ เพราะต้องการวัตถุกาม ชื่อว่าถูกสับโขกด้วยกิเลสกามบนวัตถุกาม เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสให้ละ ฉันทราคะในกามคุณ ๕

เมื่อมีกามราคะ คือความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเกิดขึ้น สิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว ปรากฏแล้ว เพราะมีเหตุปัจจัยสติก็ระลึกรู้ทันทีเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานซึ่งเป็นปกติ เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ถ้ายิ่งศึกษาพระธรรมวินัย โดยละเอียดท่านก็ยิ่งจะเข้าใจชัดเจนขึ้น ถึงการละกิเลสว่า ควรเจริญอย่างไร ไม่ใช่ไปบังคับ ไม่ใช่ไปฝืน เพราะเหตุว่า กามราคะ หรือ กามาสวะ นั้นจะหมดสิ้นไปได้ก็ต่อเมื่อบรรลุอริยสัจธรรมเป็นพระอนาคามี และพระอรหันต์ ถ้าเป็นพระโสดาบันบุคคล หรือพระสกทาคามีบุคคลก็ยังมีกามาสวะ แต่ไม่มีทิฏฐาสวะนี่เป็นสิ่งที่ควรเข้าใจด้วย

ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลแด่ คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 8 ก.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 9 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
สุภาพร
วันที่ 9 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Noparat
วันที่ 9 ก.ย. 2551

รู้...แล้วละ ถ้าสติไม่เกิด ระลึกรู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริงก็ไม่สามารถที่จะละ อาสวะ เหล่านี้ได้เลย

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
aiatien
วันที่ 9 ก.ย. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ajarnkruo
วันที่ 10 ก.ย. 2551

กามาสวะเกิด...โดนหั่นก็ไม่รู้ว่าโดนหั่น

...ขออนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 11 ก.ย. 2551

อนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pornpaon
วันที่ 11 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
วิริยะ
วันที่ 8 ก.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pamali
วันที่ 12 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ