ตกลง ศึกษาอภิธรรม ศึกษาให้ถูกคืออย่างไร

 
dhamma_s
วันที่  28 มี.ค. 2549
หมายเลข  980
อ่าน  1,334

ให้รู้ว่ามีวีถีจิตอย่างไร เท่าไหร่หรือ วิญญาณ 6 มีอะไรบ้างใช่ไหม ธรรมายตนะมี

อะไรบ้างนี่คือการศึกษาอภิธรรมที่แท้จริงและถูกต้องใช่ไหม หรือศึกษาอภิธรรมที่ถูก

เป็นอีกแบบ อธิบายด้วย จะได้ปฏิบัติถูกไม่หลงไปทางผิด


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 29 มี.ค. 2549

การศึกษาพระธรรมทั้งหมดเพื่อการเข้าใจความจริง ให้ถูกต้อง ในขั้นต้นรู้เรื่องราวของสภาพธรรม ต่อมาค่อยๆ รู้ตัวธรรมะจริงๆ ที่กำลังปรากฏ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2549

คำว่า อภิ แปลว่า ยิ่งใหญ่

อภิธรรม คือ ธรรมที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใด เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรงเทศนาธรรมทั้งปวงที่ทรงตรัสรู้ พร้อมทั้งเหตุปัจจัยของธรรมทั้งปวงนั้นโดยสภาพความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ พระองค์ทรงเคารพธรรมที่ทรงตรัสรู้ พระองค์มิได้ทรงเทศนาว่าธรรมทั้งปวงอยู่ในอำนาจของพระองค์ แต่ทรงเทศนาว่าพระองค์เองก็ไม่สามารถบันดาลให้ผู้ใดพ้นทุกข์หรือบรรลุมรรค ผล นิพพานได้ การประพฤติปฏิบัติธรรมเท่านั้นที่เป็นปัจจัยให้ผู้ปฏิบัติบรรลุมรรค ผล นิพพาน พ้นทุกข์ได้

ปรมัตถธรรม หรือ อภิธรรมนั้น มิใช่ธรรมที่เหลือวิสัยที่จะเข้าใจได้ เพราะปรมัตถ-ธรรมเป็นธรรมที่มีจริง ฉะนั้น ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จึงเป็นการรู้ความจริงของปรมัตถธรรมตามสภาพลักษณะของปรมัตถธรรมนั้นๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2549

พุทธศาสนานิกควรพิจารณาและศึกษาให้รู้ว่า ธรรมและความจริงที่พระองค์ตรัสรู้นั้น คืออะไร ความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้ต่างกับความจริงที่เราคิดนึกหรือเข้าใจอย่างไรบ้าง ความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และทรงเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัทให้เข้าใจ และปฏิบัติตามจนเห็นความจริงนั้นๆ ก็คือ สิ่งทั้งหลายที่ปรากฏนั้น เป็นธรรมแต่ละชนิดแต่ละประเภท ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นเพราะปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้นได้ เช่น ความโลภความโกรธ ความเสียใจ ความทุกข์ ความสุข ความริษยา ความตระหนี่ ความเมตตา ความกรุณา การเห็น การได้ยิน เป็นต้น ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมแต่ละชนิดสภาพธรรมแต่ละชนิดแต่ละประเภทนั้นต่างกัน เพราะเกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆ กัน

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2549

พระพุทธดำรัสที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นตถาคต หมายถึง การเห็นธรรมรู้แจ้งธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ คือ โลกุตตรธรรม ๙ ขั้นปฏิเวธ เป็นผลของการเจริญธรรมขั้นปฏิบัติ

การเจริญธรรมขั้นปฏิบัติต้องอาศัยปริยัติ ด้วยเหตุนี้ปริยัติ คือการศึกษาพระธรรมวินัย จึงเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เป็นทางนำไปสู่พระพุทธศาสนาขั้นปฏิบัติและขั้นปฏิเวธเป็นลำดับไป พระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาค ได้จดจำสืบต่อกันมาโดยมุขปาฐะคือ การท่องจำจากพระอรหันตสาวกผู้กระทำสังคายนาพระธรรมวินัยเป็น ๓ ปิฏก เรียกว่า พระไตรปิฏก การท่องจำได้กระทำสืบต่อกันมาตราบจนกระทั่งได้จารึกเป็นตัวอักษรพระธรรมวินัยซึ่งพระอรหันตสาวกได้สังคายนาเป็น ๓ ปิฏกนั้น คือ

พระวินัยปิฏก เกี่ยวกับระเบียบข้อประพฤติปฏิบัติ เพื่อพรหมจรรย์ขั้นสูงยิ่งขึ้นเป็นส่วนใหญ่

พระสุตตันปิฏก เกี่ยวกับหลักธรรมที่ทรงเทศนาแก่บุคคลต่างๆ ณ สถานที่ต่างๆ เป็นส่วนใหญ่

พระอภิธรรมปิฏก เกี่ยวกับสภาพธรรมพร้อมทั้งเหตุและผลของธรรมทั้งปวง

ผู้ที่ทรงจำพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง คือ ท่านพระอานนท์และผู้กระทำสังคายนาพระธรรมวินัย ล้วนเป็นพระอรหันตสาวก ท่านเหล่านี้มีความเคารพพระธรรม และกระทำสังคายนาโดยมิได้มีการปรับปรุงถ้อยคำให้ต่างจากที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
shumporn.t
วันที่ 29 มี.ค. 2549

คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มี 3 ขั้น คือ ขั้นปริยัติ ศึกษาพระธรรม

วินัย ขั้นปฏิบัติ เจริญธรรมที่ดับกิเลสดับทุกข์ ขั้นปฏิเวธ รู้แจ้งธรรมที่ดับกิเลส ดับ

ทุกข์การเจริญธรรมขั้นปฏิบัติต้องอาศัยธรรมขั้นปริยัติ ดังนั้นปริยัติ คือการศึกษาพระ

ธรรมวินัยจึงเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เป็นทางนำไปสู่พระพุทธศาสนาขั้นปฏิบัติและขั้น

ปฏิเวธเป็นลำดับไป

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
dhamma_s
วันที่ 30 มี.ค. 2549

ที่อื่นเขาก็อ้างว่าศึกษาปริยัติเหมือนกัน จะต่างกับปริยัติที่เกื้อกูลการปฏิบัติอย่างไร

(ที่อื่นก็ศึกษาอภิธรรมเหมือนกัน) ดังนั้นปริยัติในที่นี้คืออย่างไรกันแน่

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 30 มี.ค. 2549

พุทธศาสนานิกควรพิจารณาและศึกษาให้รู้ว่า ธรรมและความจริงที่พระอรหันต-สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นคืออะไร ความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้ต่างกับความจริงที่เราคิดนึกหรือเข้าใจอย่างไรบ้าง ความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และทรงเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัทให้เข้าใจและปฏิบัติตามจนเห็นความจริงนั้นๆ ก็คือ สิ่งทั้งหลายที่ปรากฏนั้นเป็นธรรมแต่ละชนิดแต่ละประเภท ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ธรรม ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น เพราะปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้นได้ สภาพธรรมแต่ละชนิดแต่ละประเภทนั้นต่างกันเพราะเกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆ กัน

การศึกษาพระอภิธรรมเพื่อให้เกิดความเห็นถูกเข้าใจถูกว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะไม่ใช่สัตว์ บุคคล ต้วตน เป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดดับสืบต่อกันไปไม่มีที่สิ้นสุดตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด ปัญญาต้องเป็นไปตามลำดับขั้นจริงๆ โดยเริ่มจากการฟังให้เข้าใจ จะขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการปฏิบัติ เพราะปัญญาจะทำกิจของปัญญา ไม่มีตัวเราที่จงใจหรือตั้งใจที่จะแสวงหาวิธีที่จะปฏิบัติ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
audience
วันที่ 15 เม.ย. 2549

ตกลง ศึกษาอภิธรรม ศึกษาให้ถูกคืออย่างไร

อยากทราบความเห็นของท่านเจ้าของคำถามนี้ ได้ติดตามอ่านคำถามและข้อความที่ท่านส่งมาแล้ว ท่านคงเป็นผู้หนึ่งที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมและเป็นผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรม ท่านอื่นจะแสดงความคิดเห็นก็ได้นะครับ ขออนุโมทนาทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
saowanee.n
วันที่ 23 มิ.ย. 2549

ตกลง ศึกษาอภิธรรม ศึกษาให้ถูกคืออย่างไร

เพื่อให้เข้าใจอย่างเดียวค่ะ ไม่มีอย่างอื่น และไม่ใช่เพียงแค่การรู้เรื่องราวของสภาพธรรม หรือรู้ตามตำรา แต่ที่สำคัญคือเข้าใจและรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ที่กำลังปรากฎ ให้รู้จริง ให้รู้ยิ่ง ให้รู้ทั่วทั้ง ๖ ทวาร

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
อารายเนี่ย
วันที่ 22 พ.ค. 2550

ตกลง ศึกษาอภิธรรม ศึกษาให้ถูกคืออย่างไร

ธรรมต้องสอดคล้องกันทั้ง 3 ปิฎก การศึกษาอภิธรรมก็เพื่อให้เข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม เมื่อเข้าใจถูก ดังนี้ ก็จะทำให้เข้าใจในพระสูตร เช่น ในเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ว่า ไม่มีเราที่จะทำหรือบังคับให้สติเกิด เพราะได้ศึกษาว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ดังนั้น การศึกษาพระอภิธรรมที่ถูกไม่ใช่ให้ไปจำชื่อว่า มีจิต เจตสิกเท่าไหร่ แต่เพื่อให้รู้ให้เข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมเพื่อเป็นประโยชน์ในการเจิญสติปัฏฐานครับ ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ