พิจารณาตัวเอง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ในวันหนึ่งๆ นะคะ โดยวิถีจิตเนี่ยค่ะ ทราบว่าอกุศลเกิดมากกว่ากุศล
แล้วก็รู้เหตุด้วยนะคะว่า กุศลจิตหรืออกุศลจิตเนี่ยค่ะ ก็จะต้องเกิดเมื่อมีการเห็นการได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส
ถ้าไม่มีอเหตุกจิตเหล่านี้ (จิตเห็น จิตได้ยินจิตที่รู้กลิ่น จิตที่รู้รส จิตที่รู้โผฏฐัพพะ)
จะมีอกุศลเกิดได้มั้ย หรือว่าจะมีกุศลเกิดได้มั้ย? ไม่ได้เลยนะคะ
#################
เพราะฉะนั้น เมื่อทราบว่าเพราะเห็น เพราะได้ยิน เพราะได้กลิ่น เพราะลิ้มรส เพราะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นปัจจัยให้กิเลสที่ยังไม่ได้ดับ เกิดขึ้นเป็นอกุศลจิตประเภทต่างๆ ในวันหนึ่งๆ เนี่ยค่ะ มากเหลือเกิน
โดยคำพูดกล่าวว่า "มาก" นะคะ แต่โดยการรู้จริงๆ ว่า "มาก" เนี่ย จะรู้ได้ยังไง
โดยตำรานี่รู้จริงๆ ค่ะว่าวันหนึ่งๆ อกุศลจิตเกิดมาก แต่ยังไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงนะคะว่า มากกว่าที่คิดหรือว่าที่เข้าใจแค่ไหน?
ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่า วันหนึ่งๆ นั้น อกุศลจิตเกิดมาก
#################
ตามธรรมดานะคะ มีใครเคยคิดสำรวจตัวเองโดยละเอียดบ้างมั้ยคะว่า มีอกุศลธรรมอะไรบ้าง แล้วก็แต่ละอย่างๆ ที่เป็นอกุศลธรรมนั้นอย่างไหนมากแค่ไหน
แล้วก็อย่างไหนพอที่จะน้อยกว่าอย่างอื่นบ้าง ซึ่งคนอื่นไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยนะคะ
ทุกคนที่อยากรู้จักตัวเองเนี่ยค่ะ ต้องพิจารณาตัวเองตามความเป็นจริง แล้วต้องเป็นผู้ที่ตรงด้วย
#################
ถ้าใครเห็นแต่ความดีของตัวเองนะคะ หรือเห็นกุศลที่ได้ทำแล้ว ชื่อว่า "พิจารณายังไม่ละเอียด" ถูกมั้ยคะ?
เพราะเหตุว่า ถ้ารู้แต่ว่าได้ทำกุศลอะไรบ้าง มีกุศลมากอย่างนั้น อย่างนี้ เนี่ยค่ะ
ลืมพิจารณาว่า แล้วอกุศลล่ะ? มีพอๆ กับกุศลหรือว่ามากกว่าเยอะแยะ แล้วก็เป็นอกุศลประเภทใด และอกุศลนั้นๆ น่ะค่ะ ร้ายแรง น่ารังเกียจหรือว่าไม่ดีสักแค่ไหน ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ นอกจากตัวเอง
################
เพราะฉะนั้น ถ้าได้พิจารณาตัวเอง อย่างละเอียดนะคะ แล้วก็เห็นอกุศลธรรม เห็นกิเลสของตนเองเนี่ยค่ะ ก็จะเป็นประโยชน์ ที่จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทนะคะ
แล้วก็จะไม่คิดว่า "ตัวเองดีพอแล้ว" เพราะเหตุว่า ถ้าคิดว่า "ดีพอแล้ว" นะคะ กุศลกรรมก็ทำมากแล้ว ก็จะไม่ทำให้เจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
#################
ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าเทียบกันแล้วระหว่างกุศลและอกุศลนะคะ
โดยสภาพของความเป็นปุถุชน "กุศลมากเท่าไร ก็ยังไม่พอค่ะ"
เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะเห็นอกุศลของตนเองโดยละเอียดยิ่งขึ้น ว่ามีอกุศลประเภทใดมาก น่ารู้มั้ยคะ? ที่จะรู้อกุศลของตัวเอง ไม่ต้องให้คนอื่นรู้ก็ได้ แต่ว่ารู้อกุศลของตนเอง
#################
เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีปัญญา ย่อมพิจารณาเห็นอกุศลของตนเอง แล้วก็เห็นโทษของอกุศลธรรมนั้นๆ แล้วก็ขวนขวายที่จะดับอกุศลธรรมนั้นๆ ด้วยไม่ใช่เพียงรู้นะคะ ธรรมะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเนี่ยค่ะ ไม่ใช่เพียงให้เข้าใจ แล้วก็ไม่ใช่เพียงให้รู้แต่เพื่อให้ประพฤติ ปฏิบัติ ในทางที่เป็นกุศลยิ่งขึ้นด้วย
บรรยายโดย ... ท่าน อ. สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ข้อความบางตอนถอดมากจาก ชุดจิตปรมัตถ์ แผ่นที่ 5 ครั้งที่ ๒๐๔๔ นาทีที่ ๑๑.๑๙
สิ่งที่ควรพิจารณาบ่อยๆ คือแม้อกุศลเกิดก็เป็นธรรมะที่ไม่ใช่เรา
ยังดีกว่าอกุศลเกิดเป็นเราค่ะ
การสะสมอกุศล มากกว่ากุศลเป็นปกติของปุถุชน
พิจารณาตัวเอง จากชีวิตประจำวัน คือขณะนี้ ถ้ายังเป็น "เรา" ที่มีอกุศล หรือ มีกุศล ก็ยังไม่ใช่ "การอบรมเจริญสติปัฏฐาน"ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะละคลายความเห็นผิดว่า "เป็นตัวเอง" ได้.ขออนุโมทนาค่ะ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีปัญญา ย่อมพิจารณาเห็นอกุศลของตนเอง แล้วก็เห็นโทษของอกุศลธรรมนั้นๆ แล้วก็ขวนขวายที่จะดับอกุศลธรรมนั้นๆ ด้วยไม่ใช่เพียงรู้นะคะ ธรรมะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเนี่ยค่ะ ไม่ใช่เพียงให้เข้าใจ แล้วก็ไม่ใช่เพียงให้รู้แต่เพื่อให้ประพฤติ ปฏิบัติ ในทางที่เป็นกุศลยิ่งขึ้นด้วย
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ
กราบขออนุโมทนาท่านอาจารย์
ขออนุโมทนาคุณสารธรรม
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ