โรคภัยคิดว่าเป็นกรรม

 
คนทุกข์ใจ
วันที่  18 ก.ย. 2551
หมายเลข  9893
อ่าน  2,895

ดิฉันมีความเข้าใจและเชื่อเกี่ยวกับเรื่อง การที่คนเราเป็นโรคภัยไข้เจ็บนั้น อันเป็นผลเนื่องมาจากกรรมในอดีตชาติหรือปัจจุบันชติที่เราได้กระทำกรรมชนิดหนึ่ง และเมื่อเราทราบว่า ถ้าการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้เป็นเพราะเกิดจากกรรมที่เรากระทำแต่อดีต ก็ต้องยอมรับชดใช้หนี้กรรม เพราะถึงอย่างไร กรรมก็ย่อมส่งผล ถึงแม้ว่าเราจะขวนขวายรักษาสักเพียงใดก็ตาม ย่อมไม่พ้นจากการเจ็บไข้ได้ (อันเนื่องมาจากกรรม)

ดิฉันจึงมีข้อสงสัยที่อยากจะเรียนถามท่านผู้เจริญเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ

1. กรณีถ้าเรามีอาการผิดปกติของร่างกาย (ไม่มีอาการเจ็บป่วยค่ะ เพียงแต่เป็นความผิดปกติที่บ่งบอกถึงโรคภัยที่ร้ายแรงเท่านั้น) แต่ก็ไม่ไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจและรักษาแต่อย่างใด การที่เรายอมรับชะตากรรมปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมเช่นนี้นั้น จะเป็นบาปหรือไม่คะ?

2. การที่คนเราเกิดมาจะมีอายุยืนยาวหรือไม่นั้นเกิดจากบุญหรือบาป ใช่หรือไม่คะ?

3. ดิฉันฟังธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์มาระยะหนึ่ง ขณะนี้มีความรู้สึกไม่หวาดกลัวถึงแม้จะเป็นโรคเป็นภัย ร่างกายดับสูญไป ก็ไม่รู้สึกทุกข์หรือหวาดกลัว เมื่อมีสิ่งที่เป็นทุกข์มากระทบก็จะรู้สึกไม่กระทบกระเทือนรุนแรง และไม่ระเริงไปกับความสุขเมื่อต้องสิ่งที่พึงพอใจ เมื่อจะมีจิตใจไปในทางกามสุขก็จะระลึกเสมอ มีอาการเหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจอย่างไรไม่ทราบค่ะ แต่ก็รู้สึกเบิกบานเหมือนหลุดมาสู่อีกโลกหนึ่ง อยากจะเรียนถามและให้ท่านช่วยวิจารณ์ว่าดิฉันมีจิตอย่างไร ในขณะนี้ดิฉันยังอ่อนมากนักในเรื่องธรรมมะเพราะเป็นก้าวแรกจริงๆ ค่ะ แต่ดิฉันมีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากเหลือเกินค่ะ.

ขอกราบขอบพระคุณท่านที่มีจิตกรุณา ขออาราธนาอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยโปรดจงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยเทอญ.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 18 ก.ย. 2551

๑. ควรทราบสภาพจิตของปุถุชนทั้งหลายโดยมากเป็นไปกับอกุศลจิต เมื่อเกิดความไม่สบายทางกาย (ป่วย) บางคนเพราะรักตัวเองก็ไปหาหมอ บางคนก็ไม่ไปหาหมอ ทั้งสองคนนี้สภาพจิตก็เป็นไปกับอกุศลทั้งนั้น คนไหนเป็นบาปครับ บาปคืออะไร?

๒. การที่คนเราเกิดมาจะมีอายุยืนยาวหรืออายุสั้นนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยหลักใหญ่แล้วอยู่ที่กรรม แต่ปัจจัยอื่นๆ ก็มีส่วน เช่น ปโยคะ กาล คติ เป็นต้น

๓. เป็นเพียงความคิดเพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น วันต่อไปอาจจะมีความคิดอย่างอื่นก็ได้เพราะการอบรมเจริญปัญญาต้องอาศัยกาลเวลาที่นานมาก ขอให้ฟังพระธรรมต่อไปเรี่อยๆ อย่าทิ้งการศึกษาธรรมะ เพราะถ้าขาดหลักแล้วจะทำให้ความคิดและความเห็นไม่ตรงกับสภาพธรรมตามความเป็นจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 18 ก.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

1. บาป คือจิตที่เป็นไปในอกุศล ซึ่งโดยมากปุถุชนก็มักเป็นไปในอกุศลเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะไปหาหรือไม่ไปหาหมอ ซึ่งโดยมากแล้วย่อมเป็นไปกับอกุศล เช่น ไม่ไปหาหมอเพราะกลัว ไปหาหมอเพราะรักตนเองด้วยโลภะ แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อคิดจะไปหาหมอ จะต้องเป็นอกุศลจิตเป็นบาปเสมอไป หรือเมื่อคิดไม่ไปหาหมอจะต้องเป็นอกุศลเสมอไป ขึ้นอยู่กับปัญญาและสภาพจิตในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไรครับ กรณีเช่น พระอรหันต์บางรูปเมื่อป่วย ท่านก็ไม่มีความขวนขวายที่คิดจะไปให้หมอเยียวยารักษาโรค และท่านเมื่อเจ็บป่วยอย่างแรงกล้า ท่านก็ไม่มีความคิดที่จะพูดบอกให้คนทั้งหลายปรุงยาเลยครับ จิตของท่านแม้ไม่คิดไปหาหมอก็ไม่เป็นอกุศลเลยเพราะดับกิเลสแล้ว

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๒๘๐

บทว่า เอตมตฺถ ความว่า ทรงทราบโดยประการทั้งปวงถึงอรรถนี้ กล่าวคือพระขีณาสพไม่ถูกโลกธรรมฉาบทา อันเป็นเหตุให้ถึงความไม่ขวนขวาย เพื่อให้หมอเยียว
ยาโรคเช่นนั้น

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๒๘๑

บทว่า อตฺโถ นตฺถิ ชนํ ลเปตเว ความว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวคือพูดกะชนว่า ท่านทั้งหลายจงปรุงเภสัชเป็นต้นแก่เรา เพราะไม่มีความอาลัยในร่างกาย จริงอยู่ อัธยาศัยของพระขีณาสพ (มี) ว่า กายนี้จงแตกตกไปของทีเดียว เหมือนใบไม้เหลืองหล่นจากขั้วฉะนั้น.

ส่วนแม้พระอรหันต์บางรูป เช่น พระอนุรุทธะ เมื่อถึงคราวเจ็บป่วยก็ย่อมให้ภิกษุผู้เป็นผู้พยาบาลไข้หรือใช้สามเณรให้ไปหายามารักษา ท่านไม่มีกิเลสแล้วจึงไม่เป็นอกุศลแม้ ขณะที่ให้ผู้อื่นไปหายารักษาเลย จึงแสดงให้เห็นว่าเป็นบาปก็ได้ ไม่เป็นบาปก็ได้ แล้วแต่จิตขณะนั้น แต่ควรเข้าใจว่าปุถุชนเป็นผู้หนาด้วยกิเลส ย่อมไหลไปในทางอกุศลอยู่แล้วเป็นธรรมดาครับ ที่สำคัญที่มีโรคกายเพราะเกิดมา ที่เกิดมาเพราะมีโรคใจ จึงไม่ควรประมาทในการศึกษาธรรมเพื่อรักษาโรคทางใจก็จะไม่มีโรคทางกายเลยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 18 ก.ย. 2551

2. กรรมที่ทำให้อายุยืนก็มี ซึ่งต้องเป็นกุศลกรรม เช่น การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ หรือการเป็นผู้ปกติอ่อนน้อมไหว้บุคคลที่มีคุณ ควรไหว้ เป็นต้น ส่วนกรรมที่ทำให้อายุสั้นโดยตรง คือการฆ่าสัตว์ แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้อายุยืนและสั้นครับ แต่โดยหลักเป็นเรื่องของกรรม เช่น แม้เกิดในคติดี เช่น เกิดเป็นเทวดา กรรมก็ตัดรอนให้ตกนรกทันทีได้ แม้จะเกิดอยู่ในภพเทวดาที่อายุยืน แต่ตัวเองก็เกิดมาได้ไม่นานก็จุติ (ตาย) เป็นต้น เรื่องกรรมเป็นเรื่องละเอียดมากครับ

3. ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นได้ในบางครั้งบางคราว แต่ถามว่าปัญญารู้อะไรในขณะนั้นและ ละกิเลสอะไรได้บ้าง หากพิจารณาจริงๆ ก็จะเห็นความยึดถือด้วยความเป็นเราอยู่ เป็นเราที่ไม่หวั่นไหว เป็นเราที่ไม่ทุกข์ เป็นเราที่มีศรัทธาซึ่งเห็นถึงความยึดมั่นในความ เป็นตัวตนที่ยังไม่ได้ละ ดังนั้นการอบรมปัญญาเบื้องต้น คือละความเป็นเรา แม้ขณะที่ไม่หวั่นไหวว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 18 ก.ย. 2551

paderm

"หากพิจารณาจริงๆ ก็จะเห็นความยึดถือด้วยความเป็นเราอยู่ เป็นเราที่ไม่หวั่นไหว เป็นเราที่ไม่ทุกข์ เป็นเราที่มีศรัทธา ซึ่งเห็นถึงความยึดมั่นในความเป็นตัวตนที่ยังไม่ได้ละ ดังนั้นการอบรมปัญญาเบื้องต้น คือละความเป็นเรา แม้ขณะที่ไม่หวั่นไหวว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ"

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
choonj
วันที่ 18 ก.ย. 2551

๑) เมื่อพบความผิกปรกติบ่งบอกถีงโรคภัยร้ายแรง แล้วมีความเข้าใจว่าเป็นไปตามกรรม แล้วเกิดความคิดไม่ไปพบแพทย์ ไม่น่าจะเป็นความคิดที่ถูก โดนกรรมหลอกไปแล้ว และถ้าไปรักษาแล้วหายก็ได้บุญ แล้วทำบุญทำไมเมื่อบุญจะให้ผลไม่เอา ไม่ไปพบแพทย์แล้วตายถามว่าบาปไหม ทำกับตัวเองไม่บาปหรอกครับ

๒) ใช่ครับ

๓) ถามใจตัวเองดูก่อนว่าไม่หวาดกลัวจริงๆ หรือปล่าว ถ้าไม่หวาดกลัวจริงๆ ได้ธรรมชั้นสูงแล้วนะ จะไม่มีอาการเหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจที่รู้สีกเบิกบานนั้นมันฟล๊คครับ ไม่มีใครสามารถรู้จิตใจของคนอื่นได้หรอกครับ รู้ได้เฉพาะตัวเอง และการที่ตัวเองจะรู้จิตใจตนเองได้นั้นก็ต้องฟังธรรมให้เข้าใจ อย่าลืมต้องฟังให้เข้าใจ ไม่ใช่แค่ฟัง ครับ

๔) แถมข้อ ๔ นะ ชื่อคนทุกข์ใจเปลี่ยนได้ไหมครับ เผื่อจะดีขี้นบ้าง อย่าว่ากันนะครับ เมื่อถามมาก็เสนอความเห็นด้วยความหวังดี

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ปริศนา
วันที่ 19 ก.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยอันเป็นที่พึ่งสูงสุด

ชีวิตมนุษย์ ที่เกิดมาจะมีค่าสูงสุดก็เมื่อได้พบพระธรรมและมีโอกาสได้ฟังพระธรรม การปล่อยให้ร่างกายเจ็บป่วยโดยไม่รักษาไม่ใช่ทางที่ถูกค่ะ.
ท่านเข้าใจถูกส่วนหนึ่งคือโรคภัยไข้เจ็บเป็นผลจากกรรม เช่นความเจ็บป่วยทางกาย ปุถุชนส่วนใหญ่เมื่อกายป่วยจิตก็มักป่วยไปด้วยเหมือน โดนลูกศรดอกที่ ๑ แทง (ที่กาย) แล้วยังมีลูกศรดอกที่ ๒ แทง (ที่ใจ) ซ้ำอีกซึ่งไม่เพียงป็นทุกข์กายอย่างเดียว แต่ทุกข์ใจตามมาด้วยเนื่องจากเหตุแห่งความทุกข์กาย แต่ที่ยังเข้าใจไม่ถูกคือ การไม่รักษา (ด้วยเหตุใดก็ตาม เช่นความกลัว เป็นต้น) และไม่มีความพยายามแก้ปัญหาทั้งๆ ที่ยังมีโอกาส จริงอยู่พระผู้มีพระภาคตรัสสอนไว้ว่าโรคบางอย่างรักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย โรคบางอย่างต้องรักษาจึงหาย ไม่รักษาก็ไม่หายโรคบางอย่างรักษาก็ไม่หาย ไม่รักษาก็ไม่หาย.
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราผู้ไม่ใช่สัพพัญญูจะไปหาคำตอบว่าเป็นเพราะเหตุใดแต่ควรพิจารณาพระพุทธพจน์ที่ตรัสว่าพึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ เมื่อรักษาชีวิตพึงสละอวัยวะ เมื่อคำนึงถึ ธรรมพึงสละอวัยวะ ทรัพย์และแม้ชีวิตทุกอย่าง
ข้าพเจ้าเข้าใจว่าปุถุชนส่วนใหญ่ ที่ประสพกับอันตราย อันถึงแก่ชีวิตย่อมหวาดกลัวและไม่อยากรับรู้อะไร แต่เป็นไปไม่ได้

นั่นเป็นการตัดโอกาส ของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์.โดยเฉพาะตัวท่าน มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้พบพระธรรมจากกัลยาณมิตรซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งที่มีโรคประจำตัวและเคยคิดว่าก็เป็นอกุศลวิบาก เป็นโรคที่รักษาไม่หายและปล่อยไป ไม่คิดที่จะรักษาจริงจังเพราะคิดว่า หมด (วิบาก) กรรมก็หายเองเพราะไม่อยากได้ชื่อว่าผู้ป่วยและไม่ชอบรับประทานยาแต่อาการของโรคนั้นมีผลกระทบต่อการงานและการศึกษาพระธรรมอย่างไม่ควรจะเป็น เพราะเมื่อร่างกายไม่แข็งแรงจิตใจเศร้าหมอง ไม่เกื้อกูลต่อการฟังพระธรรมเหมือนตอนที่ร่างกาย ทุเลาลงจากอาการป่วย ข้าพเจ้าสูญเสียเวลาอันมีค่าไปเพราะความเข้าใจผิดอยู่นาน กว่าจะทราบว่า ถ้าหากทานยาแล้วอาการทุเลาลงเกื้อกูลต่อการฟังพระธรรม แล้วเข้าใจ (เมื่อทุกขเวทนาทุเลาลง) ข้าพเจ้าคงไม่เสียเวลาไปกับการสั่งสมอกุศล จากทุกขเวทนาและเสียโอกาสในการเข้าใจพระธรรม เพราะความถือมั่นนั้น เนื่องจากข้าพเจ้าไม่ทราบรายละเอียดของท่าน

จึงได้แต่ขอให้ท่าน พิจารณาว่า หากไปพบแพทย์ แล้วตรวจดูว่าเป็นอะไรแน่ก็ดีค่ะ.
ถ้ามองในแง่ร้ายท่านเป็นโรคร้าย ก็รักษาไปตามอาการและฟังธรรมไปด้วย เป็นการใช้ชีวิตอันน้อยนี้ให้คุ้มค่าแม้จะป่วยกาย กุศลจิตก็เกิดได้ตามเหตุปัจจัย และยังเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส (ขออนุญาตใช้ภาษาชาวบ้าน) เพราะท่านจะเห็นความเป็นสัจจธรรมซึ่งคนที่สบายๆ ไม่ป่วยอาจไม่มีโอกาสรู้ได้ หากท่านเข้าใจพระธรรมในระดับหนึ่ง หากมองในแง่ดี ถ้าท่านไปพบแพทย์แล้วทราบว่าที่ท่านกังวลด้วยความไม่รู้ ว่าป่วยร้ายแรงอาจไม่เป็นอย่างที่คิด อาจรักษาหาย หรือยืดชีวิตอันมีค่าให้มีโอกาสฟังพระธรรมและเจริญกุศลอื่นๆ ต่อไปอีกนานขึ้น ท่านลองพิจารณาดูว่าอย่างไหนจะมีประโยชน์กว่ากันระหว่างไม่แก้ไขอะไรเลย อยู่กับความสงสัย กังวลใจและฟังพระธรรมเพื่อปลอบใจ หรือการที่ท่าน มีความพยายามที่จะแก้ไข คือทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด.

รู้ไปเลยว่าเป็นอะไร จะได้ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องอยู่กับความกังวล เพราะการได้อัตตภาพเป็นมนุษย์นั้นแสนยากจึงควรใช้เวลาให้คุ้มค่าด้วยการฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ (ไม่ใช่ปลอบใจ) เพราะการฟังพระธรรม ประโยชน์คือ เพื่อความเข้าใจ ความเข้าใจย่อมเป็นเหตุปัจจัยแก่การเจริญปัญญายิ่งขึ้น เพราะปัญญาเจริญขึ้น ความทุกข์ใจก็น้อยลง สุดท้ายนี้ ไม่ใช่ท่านคนเดียวที่ต้องเจ็บ ต้องตายทุกคนที่เกิดมามีร่างกาย (มีขันธ์) ก็ต้องประสพกับความเจ็บ ความตาย ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เหมือนกันทุกคนต่างกันไปตามเหตุตามปัจจัย (กรรม) แต่ท่านมีเสบียงเดินทางไกลในสังสารวัฏฏ์นี้แล้วหรือยัง? ด้วยการเจริญกุศลกรรม อันเป็นบุญ คือกุศลจิตซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ติดตามไปได้ เมื่อตายไปแล้ว.

ข้อความบางตอนจากหนังสือเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ควรรู้ว่าส่วนหนึ่งของชีวิตเป็นผลของกรรม และอีกส่วนหนึ่งเป็นการสะสมกรรมที่จะทำให้เกิดผลข้างหน้า

ควรรีบเจริญกุศล เพราะไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่า พรุ่งนี้อาจจากโลกนี้ไปก็ได้

ความเจ็บป่วยนั้นเปรียบเหมือนการถูกแทงด้วยลูกศรดอกที่ ๑ แต่ความทุกข์ใจ ความวิตก ความห่วงกังวลเปรียบเหมือนลูกศรดอกที่ ๒ ที่แทงซ้ำตรงแผลเก่าให้เหวอะหวะยิ่งขึ้น ทุกข์กายนั้นหนีไม่พ้น เพราะมีกายก็ต้องมีทุกข์กาย ทุกข์กายเกิดขึ้นก็รักษาพยาบาล ความกังวลไม่มีประโยชน์อะไรเลยเป็นเรื่องยาวที่ไร้สาระซึ่งไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเมื่อเจ็บป่วยก็รักษา จะเสียเวลาเป็นห่วงเป็นกังวลให้เป็นทุกข์ เดือดร้อนไปทำไม จงอย่าหยุดศรัทธา จงเจริญกุศลบ่อยๆ บุญ คือกุศลกรรมที่ได้ทำมาแล้วเหมือนญาติสนิท ที่ติดตามช่วยเหลือถ้ามั่นใจในกรรมที่ได้กระทำแล้วจะทำให้มั่นคงในการประกอบแต่กุศลกรรมเสมอ.

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
suwit02
วันที่ 19 ก.ย. 2551

ที่นี่น่ารื่นรมย์

ขอพระสัทธรรม ทำให้ใจของท่านทั้งหลายเบิกบาน

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 19 ก.ย. 2551

ตราบใดที่ยังมีกาย โรคภัยไข้เจ็บก็สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ถ้ามีโรคชนิดต่างๆ เกิดขึ้นก็ควรที่จะทำการรักษา (ไม่กังวลใจ ไม่ตกใจ) ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรเลย โดยปกติธรรมดาของผู้ที่ยังมีกิเลสเต็มไปด้วยกิเลสทั้งหลายนั้น ในแต่ละวัน กุศลจิตเกิดน้อยมากแต่อกุศลจิตเกิดบ่อยมากเหลือเกิน กิเลสเกิดขึ้นทำกิจการงานตลอดทั้งวัน (โดยที่ไม่รู้) ยิ่งถ้าถึงกับล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมด้วยแล้ว แสดงให้เห็นว่าอกุศลมีกำลังมาก จึงไม่ควรประมาทกำลังของอกุศล ชีวิตจะดำรงอยู่อีกนานเท่าใด ไม่มีบุคคลผู้ใดสามารถที่ละรู้ล่วงหน้าได้ ที่สำคัญที่สุด คือในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ควรที่จะเป็นโอกาสของการเจริญกุศลประการต่างๆ (ตามกำลัง) พร้อมทั้งอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันด้วย ดังนั้น จึงควรที่จะได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมต่อไป ด้วยความไม่ท้อถอย ค่อยๆ สั่งสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้ากำลังของปัญญามีมากๆ ขึ้น ถึงขั้นที่สามารถดับกิเลสทั้งหมดได้เด็ดขาดนั่นหมายถึงว่า เป็นผู้ไม่มีโรคทางใจอีกเลย ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 19 ก.ย. 2551

คนเราเมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บก็ต้องไปพบแพทย์เพื่อรักษา จะไปคิดว่าเป็นผลของกรรมแล้วปล่อยไปตามยถากรรมนั้นไม่ถูกต้องค่ะ การเกิดเป็นมนุษย์แสนยาก ได้มาพบ พระพุทธศาสนาก็ยากยิ่ง เป็นบุญแล้วที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ชีวิตนี้น้อยนักจึงควรรักษกาย นี้ให้ดี เพื่อจะได้อบรมเจริญกุศลทุกประการ อบรมเจริญปัญญาเพื่อขัดเกลากิเลส อย่าได้เป็นผู้ประมาท ในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์ทรงห้อพระโลหิตเพราะผลของกรรมในอดีตชาติ พระพุทธองค์ก็มีหมอมารักษาเหมือนกันค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ คุณคนทุกข์ใจด้วยค่ะ รีบไปหาแพทย์นะคะ

สำหรับข้อ ๓ ที่คุณคนทุกข์ใจกล่าวไว้นั้นล้วนเป็นไปกับความคิดนึก ความรู้สึกของตัวเองไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย ควรฟังพระธรรมให้เกิดความรู้ความเข้าใจในพระธรรม อบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นสิ่งสำคัญกว่าจะไปรู้สึกเป็นอย่างนี้ รู้สึกเป็นอย่างโน้น ก็เป็นตัวตนที่ไปรู้สึกตลอดจะเสียเวลาค่ะ ควรศึกษาพระธรรมเพื่อให้รู้สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ค่อยๆ ฟังพระธรรมต่อไปนะคะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ไม่มีเรา
วันที่ 20 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 20 ก.ย. 2551

บาปคืออกุศล เป็นจิตทีไม่ดี มีโทษให้ผลเป็นทุกข์ โรคบางอย่างรักษาก็หาย ไม่รักษาก็ไม่หาย โรคบางอย่างไม่รักษาก็หาย รักษาก็หาย แต่โรคที่เกิดจากกรรมรักษาก็ไม่หาย ไม่รักษาก็ไม่หาย ดีที่สุดคือขณะนี้มีโอกาสได้ฟังธรรม อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wirat.k
วันที่ 21 ก.ย. 2551

ไปหาหมอหรือยังครับ หาย ไม่หาย อีกเรื่องหนึ่ง แล้วเข้ามาแจ้งให้เพื่อนๆ ในนี้ทราบด้วยนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
suwit02
วันที่ 21 ก.ย. 2551

ใช่ครับ หาย ไม่หาย เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไปตรวจร่างกายเถอะครับ ไม่ว่าผลเป็นอย่างไรก็ขอเอาใจช่วยนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ajarnkruo
วันที่ 21 ก.ย. 2551

1. สภาพของจิตเป็นสิ่งที่ยากที่จะอนุมานตาม เพราะเกิดดับรวดเร็วเกินประมาณครับ แต่ก็อาจจะพิจารณาได้บ้างจากความรู้สึกที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นความรู้สึกทุกข์ใจ ไม่สบายใจ เหมือนถูกบีบคั้น อัดอั้น ร้อนรุ่มอยู่ในใจ แม้จะใช้คำว่า " ยอมรับแล้วปล่อยไปตามยถากรรม" แต่ทว่าจิตใจกลับไม่ได้ยอมรับที่จะให้เป็นไปตามที่คิด ขณะนั้นก็เป็นอกุศล บาป ก็คืออกุศลจิต ขณะที่จิตเป็นอกุศล ขณะนั้นเป็นบาป แต่ถ้าไม่ถึงกับทำอกุศลกรรมบถก็จะยังไม่ให้ผล เพียงแต่จะสะสมเป็นอุปนิสัยความเป็นผู้มีจิตใจเศร้าหมองต่อไป ไม่ใช่เราบาปหรือบาปของเรานะครับ แต่เป็นเพราะสะสมกิเลสความเศร้าหมองมาเมื่อได้ปัจจัยกิเลสจึงเกิดกับจิตได้ แต่แม้กิเลสนั้นก็ไม่เที่ยง เกิดแล้วต้องดับเหมือนกัน

2. อายุยืน อายุสั้น เนื่องกับกรรมดี (บุญ) กรรมชั่ว (บาป) ตั้งแต่เกิดจนตายครับ

3. ขณะที่เหมือนไม่มีชีวิตจิตใจนั้น เป็นกุศลหรืออกุศล ปัญญาเกิด เข้าใจว่าเป็นธรรมะโดยสติระลึกในสภาพธรรมที่ปรากฏหรือ ก็ยังเป็นเราที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ถ้ายังเป็นเรา ก็ยังไม่ใช่ผลจากการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ครับ เพราะความไม่หวั่นไหวความเบิกบาน ความไม่หวาดกลัว ความระลึกเสมอ ความไม่ระเริง ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เราแต่เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิด ดับตามเหตุปัจจัยทั้งหมด

แม้แต่ความคิดที่ว่า จะไม่ไปหาหมอสุดท้าย บางคนก็ไม่ได้ไปจริงๆ บางคนแม้โอกาสที่จะไปก็ยังไม่มี บางคนก็เปลี่ยนใจไปซะเฉยๆ บางคนก็โชคดีมีคนพาไปจนได้ไปตอนที่ไม่ต้องให้คนอื่นพาไปดีกว่าไหมครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ