อัสสชิสูตร ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งเวทนา

 
พุทธรักษา
วันที่  21 ก.ย. 2551
หมายเลข  9920
อ่าน  2,278

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๒๘๕-๒๙๐[เล่มที่ 27]

อัสสชิสูตร

ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งเวทนา

(ข้อความบางตอน)

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์.ก็สมัยนั้นแล ท่านพระอัสสชิอาพาธเป็นไข้หนัก ได้รับทุกเวทนา ครั้งนั้น ท่านพระอัสสชิเรียกภิกษุผู้อุปัฏฐากทั้งหลายมาแล้วกล่าวว่า มาเถิดอาวุโสทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับจงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า แลท่านทั้งหลายทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอประทานพระวโรกาสขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยความอนุเคราะห์เสด็จเข้าไปหาอัสสชิภิกษุถึงที่อยู่เถิด

ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเย็นพระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่พักแล้วเสด็จไปหาท่านพระอัสสชิถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้ตรัสถามท่านพระอัสสชิว่า ดูก่อนอัสสชิ เธอพอทนได้หรือ พอยังอัตภาพ ให้เป็นไปได้หรือ ท่านพระอัสสชิกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์ทนไม่ไหว ไม่สามารถจะยังอัตตภาพให้เป็นไปได้ ทุกขเวทนานั้นปรากฏว่ากำเริบขึ้น ไม่ทุเลาลงเลย

ดูก่อนอัสสชิ เธอไม่มีความรำคาญ ไม่มีความเดือดร้อนอะไรบ้างหรือ พระเจ้าข้า แท้ที่จริงข้าพระองค์มีความรำคาญไม่น้อยมีความเดือดร้อนไม่น้อย

ดูก่อนอัสสชิ ก็ตัวเธอเอง ไม่ติเตียนตัวเองได้ ด้วยศีลบ้างหรือ พระเจ้าข้า ตัวข้าพระองค์เองจะติเตียนข้าพระองค์เองด้วยศีล ก็หาไม่

ดูก่อนอัสสชิ ถ้าหากว่าเธอติเตียนตัวเองด้วยศีลไม่ได้เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอจะมีความรำคาญและความเดือดร้อนอะไร พระเจ้าข้า ในการป่วยครั้งก่อนข้าพระองค์ระงับกายสังขาร (ลมหายใจเข้า-ออก) ครั้งนี้ ระงับไม่ได้ จึงไม่ได้สมาธิ เมื่อข้าพระองค์ไม่ได้สมาธิ จึงเกิดความสงสัยอย่างนี้ว่า เราไม่เสื่อม (แล้ว) หรือ หนอ

ดูก่อนอัสสชิ สมณะพราหมณ์ ที่มีสมาธิเป็นสาระ มีสมาธิเป็นสามัญญะเมื่อได้สมาธินั้น ย่อมเกิดความคิดอย่างนี้ว่าเราทั้งหลายไม่เสื่อม (แล้ว) หรือหนอ

ดูก่อนอัสสชิ เธอจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ไม่ที่ยง พระเจ้าข้า วิญญาณ เที่ยงหรือไม่ ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า

เพราะเหตุนั้นแล อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ย่อมทราบชัดว่า กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีถ้าอริยสาวกนั้นได้เสวยสุขเวทนา ก็ทราบชัด สุขเวทนานั้นว่าไม่เที่ยงไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน หากเสวยทุกขเวทนา ก็ทราบชัดว่า ทุกขเวทนานั้นไม่เที่ยงไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน หากว่า เสวยสุขเวทนา ก็ไม่ยินดียินร้ายเสวยสุขเวทนานั้น หากว่าเสวยทุกขเวทนา ก็ไม่ยินดียินร้ายเสวยทุกขเวทนานั้น หากว่าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ไม่ยินดียินร้ายเสวยอทุกขมสุขเวทนานั้น ย่อมทราบชัดว่า เวทนานั้นไม่ที่ยง ไม่น่าพอใจไม่น่าเพลิดเพลิน หากว่าเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุดก็ทราบชัดว่า เสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด (เวทนาทางทวาร ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ถ้าเสวยเวทนา มีชีวิตเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า เสวยเวทนา มีชีวิตเป็นที่สุดทราบชัดว่า ก่อนแต่จะสิ้นชีวิตเพราะกายแตกความเสวยอารมณ์ทั้งมวลในโลกนี้ ไม่น่ายินดี เป็นของเย็น


ดูก่อนอัสสชิ อุปมาเหมือนประทีปน้ำมันจะพึงติดอยู่ได้ เพราะอาศัยน้ำมันและไส้ เชื้อเพลิงไม่มีก็พึงดับ เพราะหมดน้ำมันและไส้ฉันใด ดูก่อนอัสสชิ ภิกษุเมื่อเสวยเวทนา มีกายเป็นที่สุดก็ทราบชัด ว่าเวทนามีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุดก็ทราบชัด ว่าเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ทราบชัดว่าก่อนแต่จะสิ้นชีวิต เพราะกายแตกความเสวยอารมณ์ทั้งมวลในโลกนี้ ไม่น่ายินดี จักเป็นของเย็น

จบ อัสสชิสูตร

ข้อความบางตอนจาก...

อรรถกถาอัสสชิสูตร

สมาธินั่นแล ในศาสนาของเรา ตถาคต ยังไม่ใช่สาระวิปัสสนา มรรคและผล เป็นต้น (ต่างหาก) เป็นสาระ เธอนั้น เมื่อเสื่อมจากสมาธิ ไฉนจึงคิดว่า เราเสื่อมจากศาสนา บุคคลประสบทุกข์แล้ว ย่อมปรารถนาสุข ซึ่งก็คือทุกข์นั้นเอง เพราะทุกข์มาถึงสุขก็แปรปรวนไป. นักศึกษาพึงทราบความเพลิดเพลิน ยินดีในทุกข์ อย่างนี้

จบอรรถกถา อัสสชิสูตร

ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลแด่ คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 22 ก.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pornpaon
วันที่ 22 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
aiatien
วันที่ 22 ก.ย. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 23 ก.ย. 2551

สมาธินั่นแล ในศาสนาของเรา ตถาคต ยังไม่ใช่สาระ วิปัสสนา มรรคและผล เป็นต้น (ต่างหาก) เป็นสาระ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เข้าใจ
วันที่ 24 มี.ค. 2556

ขอกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
สิริพรรณ
วันที่ 6 ก.ย. 2564

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบขอบพระคุณยินดีในกุศลทุกท่านทุกประการค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ