สีขาวของเครื่องนุ่งห่มจะนำไปสู่การดับกิเลสได้ไหม
ในอรรถกถาพราหมณสูตรกล่าวไว้ว่าชาณุสโสณีพราหมณ์แต่งกายและเครื่องประดับอันมีค่ามากมายพร้อมรถเทียมม้ารวมทั้งพราหมณ์ผู้เป็นบริวาร ๑๐,๐๐๐ คน ทั้งเสื้อผ้า ดอกไม้ และ เครื่องประดับด้วยของมีค่าทุกอย่างล้วนเป็นสีขาวหมด เพื่อออกไปกระทำปทักษิณพระนคร ชาวเมืองทั้งหลายคิดว่าจะได้เห็นสิริสมบัติของท่านผู้มีบุญและกล่าวสรรเสริญเมื่อเห็นรถนั้นว่าเป็นยานอันประเสริฐ แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่าจะชื่อว่ายานประเสริฐด้วยเพียงการกล่าวสรรเสริญก็หามิได้ ที่จริงยานนั้นเป็นของลามกเลว เพราะว่าทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่ายานนั้นเป็นของประเสริฐ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงจึงไม่เกี่ยวกับเรื่องสีของเครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับ แต่ว่าเมื่อใดที่สติปัญญาเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ จึงชื่อว่ายานนั้นมีในผู้นั้นที่จะนำไปสู่การดับกิเลสได้ ยานที่จะนำไปสู่การดับกิเลสได้ก็คือ อริยมรรคมีองค์ ๘
เชิญสหายธรรมทุกท่านแสดงความคิดเห็นว่าในปัจจุบันนี้ผู้คนจำนวนมากเวลาไปวัดก็ยังมีความเห็นว่าการนุ่งห่มด้วยสีขาวจะทำให้บริสุทธิ์ จะทำให้นำไปสู่การดับกิเลสได้ ท่านคิดเห็นอย่างไรค่ะ
ขอขอบคุณค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
ปฏิบัติผิด เพราะเข้าใจผิด
เคยเชื่อเช่นนั้นมาก่อนเหมือนกัน ไม่ได้มีแค่เรื่องที่คิดว่าการนุ่งห่มขาวล้วนคือ การเป็นผู้รักษาศีลเท่านั้น ยังมีเรื่องการกินเจที่คิดว่าเป็นการกินอันบริสุทธิ์ปราศจากกลิ่นคาวของสัตว์ทั้งหลายอีกเรื่องด้วย
ตราบเท่าที่ยังไม่มีโอกาส ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ฟังพระธรรมที่จะเริ่มเข้าใจถูกขึ้นทีละนิดละน้อยว่าอย่างไร คือ การรักษาศีล อย่างไร คือ การกินอันบริสุทธิ์ ปราศจากโทษ ยากกกก มากกกก ค่ะ
สีขาวไม่ใช่เครื่องหมาย ไม่ใช่หนทางที่จะดับกิเลส การที่จะดับกิเลสต้องเป็นปัญญาขั้นโลกุตตรขั้นต้นดับกิเลสเป็นพระโสดาบัน กว่าจะมีปัญญาก็ต้องเริ่มสะสมชาตินี้ค่ะ
ความบริสุทธิ์จะมีได้ ไม่ใช่ด้วยสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือเรื่องราวที่คิดนึกเอาความบริสุทธิ์จะมีได้ ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน การเจริญกุศลทุกประการ การเจริญบารมีสะสมไปจนกว่าจะสามารถดับกิเลสเป็นสมุจเฉทได้
อ่านพระสูตรเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ -->
ชุดสีขาวอยู่ในศีลข้อที่ ๗ ซึ่งรวมทั้งการไม่ชมดูการละเล่นและเสริมความงามของร่างกายด้วย เป็นวินัยของผู้ปฏิบัติ เพื่อฝึกละความยินดีในเครื่องแต่งกาย และรูปกายของตน เช่นเดียวกับพระ ซึ่งท่านต้องพิจารณาจีวรว่า เครื่องนุ่งห่มเพื่อปิดบังสรีระ เนื่องจากเป็นมนุษย์ต้องมีความละอาย เพื่อป้องกันความหนาวคือสังฆาฏิ แต่ขอแสดงความเห็นสักเล็กน้อย สำหรับท่านที่ยังรักสวยรักงาม เวลาเข้าวัด กรุณาแต่งกายมิดชิดและไม่รัดรูป การแต่งกายสุภาพต้องไม่มีเจตนา ดึงดูดความสนใจ ถึงแม้จะเป็นความเคยชิน เป็นปรกติที่ใช้ชีวิตในสังคม การละกิเลสต้องมีศีลเป็นบาทฐานไปถึงพระนิพพานที่บาลีว่า สีเลนะ นิพพุติงยันติ
ความบริสุทธิ์จะมีได้ ไม่ใช่ด้วยสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือเรื่องราวที่คิดนึกเอาความบริสุทธิ์จะมีได้ ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน การเจริญกุศลทุกประการ การเจริญบารมีสะสมไปจนกว่าจะสามารถดับกิเลสเป็นสมุจเฉทได้
ขออนุโมทนาค่ะ
SURAPON ความคิดเห็นที่ ๕
ชุดสีขาวอยู่ในศีลข้อที่ ๗ ซึ่งรวมทั้งการไม่ชมดูการละเล่นและเสริมความงามของร่างกายด้วย เป็นวินัยของผู้ปฏิบัติ เพื่อฝึกละความยินดีในเครื่องแต่งกาย และรูปกายของตน เช่นเดียวกับพระ ซึ่งท่านต้องพิจารณาจีวร ไม่เคยทราบมาก่อนจริงๆ ว่า เครื่องแต่งกายขาวล้วนมีอยู่ในศีลข้อ ๗ ด้วย
สนใจค่ะ ถ้าอย่างไร เพื่อความถูกต้องชัดเจนนะคะ ขอรบกวนท่านผู้รู้ทุกท่าน ช่วยกรุณาตรวจสอบหรือขอแหล่งอ้างอิงเรื่องนี้ด้วยค่ะ หรือหากคุณ SURAPON มีแหล่งอ้างอิงชัดเจน กรุณานำมาลงไว้ด้วยก็จะดีมากค่ะ และศีล ข้อ ๗ ในที่นี้ คงหมายถึง ศีล ๘ หรือ ศีลอุโบสถ ใช่มั้ยคะ
ขอบพระคุณท่านผู้รู้ทุกท่านล่วงหน้าค่ะ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ชอบใส่ชุดสีขาว เพราะสวยดี สีขาวเข้ากับเครื่องประดับอะไรก็สวย ทุกครั้งที่ใส่ชุดขาว ใส่ด้วยความติดข้องต้องการ ความจริงติดทุกสี ตามแต่โลภะจะพาไป กิเลสยังเต็มเพียบ คงละไม่ได้เพียงเพราะด้วยชุดขาว
pannipa.v พูดถูกนะ ไม่อยากตำหนิใคร แต่ขอยืนยันว่า กิเลสอยู่ที่ จิต ไม่ใช่กายของมนุษย์นั้น แล้วแต่วาระกรรมจะพาไป ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัส "มนุษย์มีกรรม กรรมป็นเผ่าพันธุ์ คือกรรมเป็นตัวส่งผลให้มาเกิดและเกิดแล้วย่อมจะหนีกรรมไปไม่พ้น ถามจริงๆ เถิดว่า ในเมื่อกรรมเก่ายังหนีไม่พ้น เราจะไปสร้างกรรมใหม่ต่อเนื่องกับนักการเมืองคนนั้นทำไม การมีอารมณ์ต่อเนื่องกันจะพอใจหรือไม่พอใจ ก็ล้วนเป็นการต่อกรรมกันทั้งสิ้นเข้าใจไหม" เอ เรายกข้อความนี้มาจะเกี่ยวกับการใส่เสื้อสีต่างๆ รึไม่หนอ ถ้าศึกษาโดยเจอครูผู้มีจิตเป็นสัมมาทิฏฐิ คือเห็นถูก เดินตามสายอริยมรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันบริสุทธิ์ ใช้สังโยชน์ 10 เป็นเครื่องวัดอารมณ์จิต ก็ถึงที่หมายคือพระนิพพานเป็นที่ไปไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก