อักขณสูตร และอรรถกถา
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๔๕๑ เป็นต้นไป
๙. อักขณสูตร
[๑๑๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมกล่าวว่า โลกได้ขณะจึงทำกิจๆ แต่เขาไม่รู้ขณะหรือมิใช่ขณะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลมิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ๘ ประการนี้ ๘ ประการเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม และธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดงนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้วแต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงนรกเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๑
อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นในโลก ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม และธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดง แต่บุคคลผู้นี้ เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๒
อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้เข้าถึงปิตติวิสัยแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๓
อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้เข้าถึงเทพนิกายผู้มีอายุยืนชั้นใดชั้นหนึ่งเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๔
อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในปัจจันตชนบท และอยู่ในพวกมิลักขะ ไม่รู้ดีรู้ชอบ อันเป็นสถานที่ไม่มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาไปมา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๕
อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ทั้งหลายที่ผุดเกิดขึ้นไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กระทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสั่งสอนประชุมชนให้รู้ตาม ไม่มีในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๖
อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้ กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขามีปัญญาทราม บ้าใบ้ ไม่สามารถรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิต ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๗
อีกประการหนึ่ง ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ไม่ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก และธรรมอันนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพานให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าทรงประกาศแล้ว พระตถาคตมิได้แสดงถึงบุคคลผู้นี้จะเกิดในมัชฌิมชนบทและมีปัญญา ไม่บ้าใบ้ ทั้งสามารถจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๘
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลอันมิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนขณะและสมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ มีประการเดียว ประการเดียวเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม และธรรมอันตถาคตทรงแสดงเป็นธรรมนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพานให้ถึงการตรัสรู้ พระสุคตเจ้าทรงประกาศแล้ว และบุคคลนี้เกิดในมัชฌิมชนบท ทั้งมีปัญญา ไม่บ้าใบ้ สามารถเพื่อจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นขณะ และสมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ประการเดียว.
ชนเหลาใด เกิดในมนุษยโลกแลว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม ไมเขาถึงขณะ ชนเหลานั้นเชื่อวาลวงขณะ ชนเปนอันมาก กลาวเวลาที่เสียไปวา กระทําอันตรายแกตน พระตถาคตเจาเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในกาลบางครั้ง บางคราว การที่พระตถาคตเจาเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การไดกําเนิดเปนมนุษย ๑ การแสดงสัทธรรม ๑ ที่จะพรอมกันเขาได หาไดยากในโลก ชนผูใครประโยชน จึงควรพยายามในกาล ดังกลาวมานั้น ที่ตนพอจะรูจะเขาใจสัทธรรมได ขณะอยาลวงเลยทานทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปลอยเวลาใหลวงไปพากันยัดเยียดในนรก ก็ยอมเศราโศก หากเขาจะไมสําเร็จอริยมรรค อันเปนธรรมตรงตอสัทธรรมในโลกนี้ได เขาผูมีประโยชนอันลวงเสียแลว จักเดือดรอน สิ้นกาลนาน เหมือนพอคาผูปลอยใหประโยชนลวงไป เดือดรอนอยู ฉะนั้น คนผูถูกอวิชชา หุมหอไว พรากจากสัทธรรม จักเสวยแตสงสาร คือชาติและมรณะสิ้นกาลนาน สวนชนเหลาใด ไดอัตภาพเปนมนุษยแลว เมื่อพระตถาคตประกาศสัทธรรม ไดกระทําแลว จักกระทํา หรือกระทําอยูตามพระดํารัสของพระศาสดา ชนเหลานั้นชื่อวาไดประสบขณะคือ การประพฤติพรหมจรรยอันยอดเยี่ยมในโลก ชนเหลาใด ดําเนินไปตามมรรคา ที่พระตถาคตเจาทรงประกาศแลว สํารวมในศีลสังวรที่พระตถาคตเจา ผูมีจักษุเปนเผาพันธุแหงพระอาทิตยทรงแสดงแลว คุมครองอินทรีย มีสติทุกเมื่อ ไมชุมดวยกิเลส ตัดอนุสัยทั้งปวงอันแลนไปตามกระแส บวงมาร ชนเหลานั้นแล บรรลุความสิ้นอาสวะ ถึงฝงคือ นิพพานในโลกแลว.
จบ อักขณสูตรที่ ๙
อรรถกถาอักขณสูตรที่ ๙
มีวินิจฉัยดังตอไปนี้. ชาวโลกยอมทํากิจทั้งหลายในขณะ เพราะเหตุนั้นชาวโลก นั้นชื่อวา ขณกิจจะ ผูทํากิจในขณะ อธิบาย พอไดโอกาสทํากิจทั้งหลาย
บทวา ธมฺโม ไดแก ธรรมคือสัจจะทั้ง ๔.
บทวา อุปสมิโก ไดแก นําความสงบกิเลสมาให.
บทวา ปรินิพฺพานิโก ไดแก กระทํา การดับกิเลสไดสิ้นเชิง. ชื่อวา สมฺโพธคามี เพราะถึงคือบรรลุ สัมโพธิญาณ กลาวคือ มรรคญาณ ๔. คําวา ทีฆายุก เทวนิกาย นี้ พระผูมีพระภาคเจาตรัสหมายถึงเหลาอสัญญีเทพ.
บทวา อวิฺาตาเรสุ ความวา ในพวกมิลักขะ ผูไมรูอยางยิ่ง
บทวา สุปฺปเวทิเต ความวา อันพระผูมีพระภาคเจาตรัสดีแลว
บทวา อนฺตรายิกา แปลวา อันกระทําอันตราย.
บทวา ขโณ โว มา อุปจฺจคา ความวา ขณะที่ทานไดแลวนี้ อยาลวงเลยทานทั้งหลาย ไปเสีย.
บทวา อิธ เจ น วิราเธติ ความวา ถาใครๆ มีปกติพฤติประมาท ถึงไดขณะนี้ในโลกนี้แลวก็ไมสําเร็จ คือ ไมบรรลุความที่พระสัทธรรมเปนของแนนอน คือ อริยมรรค.
บทวา อดีตตฺโถ ไดแก เปนผูเสื่อมประโยชนแลว.
บทวา จิรตฺตนุตปสฺสติ ความวา จักเศราโศกสิ้นกาลนาน. เหมือนอยางวาพอคาผูหนึ่ง ไดฟงขาววา ในที่ชื่อโนน สินคามีราคาเทากัน ก็ไมพึงไป พอคาเหลาอื่นพึงไป ซื้อเขามา สินคาเหลานั้น ก็จะมีราคาเพิ่มขึ้นเปน ๘ เทาบาง ๑๐ เทาบาง เมื่อเปนเชนนั้น พอคาอีกฝายหนึ่งพึงเดือดรอนดวยคิดวา ประโยชนของเราลวงเลยไปแลวดังนี้ฉันใด บุคคลใดได ขณะในโลกนี้แลว ไมปฏิบัติ ไมยินดีการกําหนดแนนอนแหงพระสัทธรรม บุคคลนั้นชื่อวามีประโยชนอันลวงแลวเหมือนพอคานี้ จักเดือดรอนจักเศราโศกสิ้นกาลนานยิ่งกวาใครๆ ฉันนั้น.
บทวา อวิชฺชานิวุโต พึงทราบความเหมือนอยางนั้น
บทวา ปจฺจวิทุ แปลวา ไดตรัสรูแลว.
บทวา สวรา ไดแกผูสํารวมในศีล.
บทวา มารเธยฺยสรานุเค ความวา อันแลนตามสังสารวัฏฏ์แกงมาร
บทวา ปารคตา ไดแกถึงซึ่งพระนิพพาน.
บทวา เย ปตฺตา อาสวกฺขย ความวา ชนเหลาใดบรรลุพระอรหัตแลว. พระผูมีพระภาคเจาตรัสวัฏฏะและวิวัฏฏะไวในพระคาถาทั้งหลายใน พระสูตรนี้ ดวยประการฉะนี้
จบ อรรถกถาอักขณสูตรที่ ๙