โลภะ โทสะ โมหะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจาการสนทนาธรรมโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
การฟังพระธรรมจะมีประโยชน์มาก เมื่อน้อมนำพระธรรมนั้นมาพิจารณาจิตใจของตนเอง เช่น ถ้าได้ข่าวการสิ้นชีวิตของใครก็ตาม ย้อนระลึกถึงตนเองจากบุคคลนั้น เพราะว่าผู้ตายอาจจะเป็นผู้ที่มีโลภะมาก ชอบภาพเขียน ชอบดนตรี ชอบสิ่งสวยงาม ชอบความเพลิดเพลินต่างๆ แล้วตัวของท่านเหมือนอย่างนั้นหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีโลภะมาก มีความติดข้องในทรัพย์สมบัติ ก็ควรจะได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้ปรากฏทางตา จึงเกิดความยินดีพอใจ ชั่วในขณะที่เห็น เวลาที่ปรากฏทางหูเป็นเสียงที่ไพเราะ ทำให้เกิความยินดีพอใจ ชั่วขณะที่ได้ยินเสียงนั้น หรือว่ากลิ่นหอมที่ปรากฏ ก็ทำให้เกิดความพอใจเพียงชั่วขณะที่สั้นมาก คือชั่วขณะที่กลิ่นนั้นปรากฏ แม้รส แม้สัมผัส ก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่า แม้ว่ารูปจะเกิดขึ้นและดับไปเร็วมาก เร็วเท่าไรตาม ความพอใจก็ยังติดตามรูปที่ปรากฏนั้น เร็วอย่างนั้น จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น
ผู้ที่มากด้วยโทสะ ซึ่งแต่ละท่านก็ต้องพิจารณาตนเอง ว่าเป็น ผู้ที่มักโกรธ ขุ่นเคือง เดือดร้อนใจบ่อยๆ หรือว่าผูกโกรธใครไว้บ้าง ก็จะได้พิจารณา ตามความเป็นจริง แท้ที่จริงหามีบุคคลนั้นไม่ จะมีบุคคลนั้นก็เพียงชั่วชาติเดียว ที่ท่านพบเท่านั้นเอง หลังจากนั้นแล้วไม่มีอีกเลย
เพราะฉะนั้น จะโกรธหลังจากบุคคลนั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว ควรหรือใม่ควร ในเมื่อไม่มีบุคคลนั้นอีก ตราบใดที่ยังมีบุคคลนั้นให้เห็น ก็อาจจะทำให้ท่านนึกโกรธ หรือ ผูกโกรธ แต่ถ้าคิดได้ว่า บุคคลนั้นจะอยู่ในโลกนี้ได้อีกไม่นาน แล้วก็จะจากไปโดยสิ้นเชิง จะไม่มีบุคคลนั้นอีกเลย ควรจะโกรธบุคคลนั้นเมื่อสิ้นชีวิต แล้วหรือไม่ ถ้าไม่ควร แม้ในขณะนี้เองก็เป็นเพียงชั่วขณะที่ นามธรรม และ รูปธรรมเกิด ดับ เท่านั้น ไม่นานเลย
เพราะฉะนั้นถ้าใครเป็นผู้มักโกรธ ขุ่นเคืองใจไม่พอใจบุคคลอื่นง่ายๆ หรือว่าไม่ลืม ความโกรธ ความขุ่นเคืองนั้น ก็ควรที่จะระลึกรู้ความจริงว่า พบกันเพียงชาตินี้ชาติเดียว จริงๆ แล้วจะไม่พบกันอีกเลย เพราะฉะนั้น ควรจะดีต่อกัน มีเมตตากัน หรือว่าควรจะโกรธกัน เพราะว่าการเห็นกันครั้งหนึ่งๆ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า จะเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะถ้าคิดว่า อาจเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้าย ก็อาจจะทำให้จิตใจอ่อนโยน แล้วมีความเมตตากรุณาต่อกัน
ถ้าท่านเป็นผู้ที่มากด้วยโมหะ ซึ่งก่อนจะได้ศึกษาพระธรรม ทุกคนก็ไม่ได้เข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมทางตา ทางหู ... ทางกาย ทางใจเลย เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้วก็รู้ว่า มีสภาพธรรมที่ปรากฏที่จะต้องศึกษา ไม่ใช่เพียงศึกษาจากตำรา หรือว่าการรับฟังเท่านั้น แต่ขณะนี้เองมีสภาพธรรมที่ปรากฏที่ควรจะต้องประจักษ์แจ้งในสัจจธรรม ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นและดับไป ถ้ารู้อย่างนี้ ก็ยังเป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่า ควรที่จะฟัง และ พิจารณา
เพื่อที่จะเป็นสังขารขันธ์ให้สติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ในขณะนี้ โดยที่จะไม่ละเลย หรือว่าจะสนุกสนานต่อไป โดยที่จะไม่ขวนขวายในการเจริญกุศล เพราะฉะนั้น ถ้าทราบว่ายังเป็นผู้มี โมหะ มาก ที่จะต้องขัดเกลา ก็จะทำให้ไม่ละเลยการฟังพระธรรม และไม่ละเลยการเจริญกุศลทุกประการด้วย เพราะว่าความประมาทย่อมพลิกชีวิต จากความเจริญไปสู่ความเสื่อมได้ จากการเป็นมนุษย์ในชาตินี้ จะไปสู่การเป็นเปรต, อสุรกาย,เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก อาจจะเป็นพรุ่งนี้ หรือเย็นนี้ ก็ย่อมได้ทั้งสิ้น ถ้ารู้อย่างนี้ ก็จะทำให้เป็นผู้ไม่ประมาท
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ