กรรมที่ทำให้เป็นอริยสงฆ์รูปแรกและพระอรหันต์รูปสุดท้าย
เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระโกณฑัญญะที่บรรลุเป็นพระอริสงฆ์รูปแรกและเรื่องของสุภัทปริพาชกที่บรรลุเป็นพระอรหันต์รูปสุดท้าย เนื่องจากได้ตั้งความปรารถนาหรือทำกรรมอะไรสักอย่าง จึงขอทราบรายละเอียดด้วยครับ / อนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นผู้ที่บรรลุธรรมเป็นคนแรก เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก ส่วน ท่านพระสุภัททปริพาชาก ท่านเป็นพระอรหันต์องค์สุดท้าย ที่ตรัสรู้ด้วยพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นปัจฉิมสาวก ซึ่งการจะบรรลุธรรมของสัตว์โลก ก็จะต้องมีมูลคือเหตุคือการทำบุญไว้ในปางก่อนกับพระพุทธเจ้าในอดึต แม้ท่านทั้งสองก็ทำเหตุ คือ ทำบุญไว้ในปางก่อนกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ดังนี้
บุรพกรรมของพระอัญญาโกณฑัญญะ
พระศาสดา ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย แต่กัลป์นี้ไปอีก ๙๑ กัลป์พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก. ในกาลนั้น กุฎุมพี ๒ พี่น้อง คือ มหากาล (พระสุภัททะ) จุลกาล (พระอัญญาโกณฑัญญะ) ให้หว่านนาข้าวสาลีไว้มาก. ต่อมาวันหนึ่ง จุลกาลไปนาข้าวสาลี ฉีกข้าวสาลีกำลังท้องต้นหนึ่งแล้วชิมดู. ได้มีรสอร่อยมาก. เขาปรารถนาจะถวายสาลีคัพภทานแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข จึงเข้าไปหาพี่ชายแล้วพูดว่า "พี่ ฉันจะฉีกข้าวกำลังท้อง ต้มให้เป็นของควรแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ถวายทาน." พี่ชายกล่าวว่า "เจ้าพูดอะไร? อันการฉีกข้าวสาลีกำลังท้องทำทานไม่เคยมีแล้วในอดีต จักไม่มีในอนาคต, เจ้าอย่าทำข้าวกล้าให้เสียหายเลย." เขาอ้อนวอนแล้วๆ เล่าๆ . ครั้งนั้นพี่ชายจึงพูดกะเขาว่า"ถ้ากระนั้น เจ้าต้องปันนาเป็น ๒ ส่วน อย่าแตะต้องส่วนของเรา จงทำส่วนที่เจ้าปรารถนาในนาอันเป็นส่วนของตน." เขารับว่า "ดีแล้ว"แบ่งนากันแล้ว ได้ขอแรงมือกะมนุษย์เป็นอันมากฉีกข้าวสาลีท้อง ให้เคี่ยวเป็นน้ำนมจนข้นปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวด ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ในกาลเสร็จภัตกิจกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานอันเลิศของข้าพระองค์นี้ จงเป็นไปเพื่อความแทงตลอดธรรมอันเลิศก่อนกว่าสาวกทั้งปวง. พระศาสดาตรัสว่า "จงเป็นอย่างนั้นเถิด" แล้วได้ทรงทำอนุโมทนา. เมื่อเขาได้กลับไปที่นานั้นข้าวสาลีก็กลับเต็มอีก. ในเวลาข้าวเม่า ได้ถวายส่วนเลิศในข้าวเม่า ได้ถวายข้าวกล้าอย่างเลิศ พร้อมกับชาวบ้าน ในเวลาเกี่ยว ถวายส่วนเลิศในข้าวเกี่ยว ในเวลาทำเขน็ดก็ถวายส่วนเลิศในข้าวเขน็ด ในเวลามัดเป็นฟ่อนเป็นต้นก็ถวายส่วนเลิศในข้าวฟ่อน ได้ถวายส่วนเลิศในข้าวในลาน ในเวลานวดก็ถวายส่วนเลิศในข้าวนวด ในเวลาข้าวขึ้นยุ้งก็ถวายส่วนเลิศในข้าวขึ้นยุ้ง ได้ถวายทานตามคราว ๙ ครั้งสำหรับข้าวกล้าอย่างเดียวเท่านั้น ดังกล่าวมาฉะนี้ ข้าวกล้าแม้นั้นก็คงยังตั้งขึ้นเหลือเฟือ.ในกาลเสร็จภัตกิจกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานอันเลิศของข้าพระองค์นี้ จงเป็นไปเพื่อความแทงตลอดธรรมอันเลิศก่อนกว่าสาวกทั้งปวง. พระศาสดาตรัสว่า "จงเป็นอย่างนั้นเถิด" แล้วได้ทรงทำอนุโมทนา.
ท่านกระทำกรรมงามตามทำนองนั้นแลตราบเท่าที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ และตราบเท่าที่พระสงฆ์ยังมีอยู่. (ครั้น) จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดในเทวโลก. ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ เสวยสมบัติตลอด ๙๑ กัป.
ในเวลาที่พระศาสดาของเราทรงอุบัติขึ้นในโลก ก็บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในบ้านพราหมณ์โทณวัตถุ ไม่ไกลกรุงกบิลพัสดุ. ในวันขนานนาม พวกญาติขนานนามท่านว่า โกณฑัญญมาณพ.
อัญญาโกณฑัญญะ ปรารถนาเพื่อแทงตลอดธรรมอันเลิศก่อน [เขา] จึงได้ถวายทานอันเลิศ ๙ ครั้ง ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ด้วยประการอย่างนี้แล.
บุรพกรรมของสุภัททะ
ได้ยินว่า ในอดีตกาล สุภัททปริพชกนั้น เมื่อน้องชายให้ทานอันเลิศถึง ๙ ครั้ง ในเพราะข้าวกล้าครั้งหนึ่ง, ไม่ปรารถนาเพื่อจะให้ ท้อถอยแล้ว ได้ให้ในกาลเป็นที่สุด.
ดังนั้น ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นน้องชายชื่อจุลกาล ทำบุญถวายทาน 9 ครั้ง ปรารถนาการบรรลุก่อนผู้อื่น ส่วนท่านพระสุภัททะ เป็นพี่ชาย ชื่อมหากาล ทำบุญตอนสุดท้าย คือ เมื่อข้าวกล้าสมบูรณ์ ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์องค์สุดท้าย ที่ได้รับฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ผู้ทีได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เลิศในด้านต่างๆ ผู้นั้นตัองสะสมบุญบารมี และต้องได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ได้ทำบุญกับพระพุทธเจ้าและสาวก เช่น ถวายอาหาร ฯลฯ แล้วตั้งความปรารถนาจึงจะทำสำเร็จ ซึงสำเร็จด้วยกุศล ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วท่านจะได้บรรลุ เหตุต้องสมควรแก่ผลค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การรู้แจ้งอริสัจจธรรมถึงความเป็นอริยบุคคลขั้นต่างๆ ตั้งแต่ขั้นพระโสดาบัน จนกระทั่งถึงพระอรหันต์ เป็นเรื่องของปัญญา เป็นผลของการอบรมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นทางที่ทำให้ถึงซึ่งฝั่งของพระนิพพาน ซึ่งเป็นฝั่งที่เกษม ปลอดภัยจากกิเลสและปลอดภัยจากทุกข์ทั้งปวง และกว่าที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้น ต้องอาศัยการสะสมบารมีซึ่งเป็นความดีประการต่างๆ ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมจากพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาแล้วทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นพระอริยบุคคลท่านใดก็ตาม [จะมองเฉพาะชาติที่บรรลุ ไม่ได้ ต้องย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ท่านได้สะสมบารมี สะสมการฟังพระธรรมในชาติก่อนๆ ด้วย] ซึ่งก็เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีสำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมในยุคนี้สมัยนี้ ที่จะมีความตั้งใจ มีศรัทธาเห็นประโยชน์ที่จะอบรมเจริญปัญญา โดยมีพระอริยบุคคลเหล่านั้น เป็นแบบอย่างทีดี โดยที่มีชีวิตอยู่ก็เพื่อได้ฟังพระธรรมได้สะสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นเรื่องที่ไกลมาก ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้นได้ก็ต้องมีวันนี้ คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...




