ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๑๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐]
[๑] เกิดมาแล้วก็นานหลายปี ยังไม่ตาย แต่ก็จะต้องตายแน่ๆ เกิดแล้วต้องทุกคน ความตายไม่มีใครจะรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะมาถึงเมื่อใด พระธรรมที่แสดงถึงความตาย ก็เพื่อเตือนให้ระลึกได้ว่า อย่างไรก็ต้องตาย และจะตายเมื่อใด ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดก่อนตาย คือ ได้เข้าใจความจริงว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย คืออะไร มีจริงๆ หรือไม่ เหลืออะไรบ้างหรือเปล่า? ยกตัวอย่าง จิตขณะแรกในชาตินี้ (ปฏิสนธิจิต) เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย แต่ละขณะก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่เห็นขณะนี้ ก็ไม่มีเหลือ เกิดแล้วก็ดับไป ซึ่งความจริงเป็นอย่างนี้ ก็จะทำให้ได้ประโยชน์จากการที่เกิดมาแล้วต้องตาย (จะเร็วจะช้าก็อีกเรื่องหนึ่ง) อย่างน้อยในชาตินี้ ก็มีประโยชน์ที่ได้รู้ความจริง
[๒] ชาติก่อนของชาตินี้ (ซึ่งก็คือชาติที่แล้ว) จะเกิดเป็นใครที่ไหนก็ตาม ก็สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้นอย่างสิ้นเชิงในชาตินั้นแล้ว และในชาตินี้ ก็ใกล้เข้ามาแล้วกับการที่จะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้และไม่กลับมาเป็นบุคคลนี้อีกเลย
[๓] ขณะใดที่เข้าใจธรรม เข้าใจความจริง นั่นเป็นประโยชน์ตน จะเอาไปให้คนอื่นก็ไม่ได้ แต่สามารถที่จะกล่าวถึงความจริงให้บุคคลอื่นได้รับประโยชน์ด้วย แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ตน ก็ไม่สามารถเกื้อกูลให้ผู้อื่นเข้าใจได้เลย
[๔] ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ฟังจนกว่าจะเห็นถูกทีละน้อยว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แค่นี้ก็ยังยากที่จะเข้าใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ และจะเห็นถึงความไม่รู้ว่ามากจนกระทั่งว่าไปติดข้องในสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วหมดไป เห็นถึงความไม่รู้ได้เลยว่ามากมายแค่ไหน ติดข้องเพราะไม่รู้ ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้ และละคลายความติดข้อง
[๕] สิ่งที่ลืมไม่ได้เลยนั้น คือ ฟังพระธรรม เพื่อขัดเกลากิเลสทุกอย่าง เพราะเห็นโทษของกิเลส จึงขัดเกลา ซึ่งถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็จะไม่มีการขัดเกลากิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น
[๖] ฟังพระธรรมเพื่อรู้ว่าจิตที่สะสมมานั้น สะสมอะไรมามากแค่ไหน แล้วต้องการให้หมดสิ่งที่น่ารังเกียจสิ่งที่เป็นโทษ (อกุศล) นั้นหรือเปล่า? และโทษนั้นจะเกิดกับใคร? ไม่ได้เกิดกับคนอื่นเลยทั้งสิ้น ผู้ใดสะสมมาก็ต้องเกิดกับผู้นั้น แล้วมีทางหรือไม่ที่จะทำให้จิตหมดจดจากอกุศล ถ้าไม่หาทางก็สะสมสิ่งที่ไม่ดีต่อไป ไม่มีทางได้ยินได้ฟังพระธรรมได้พิจารณาไตร่ตรอง แต่ผู้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง เพราะสะสมศรัทธามาแล้วที่จะเห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม จึงฟัง ฟังเพราะเห็นว่าคนอื่นจะเอากิเลสของตนเองออกไปให้ไม่ได้ ต้องเป็นความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับเท่านั้นจริงๆ
[๗] ที่เข้าใจว่า "ได้" นั้น อยู่ที่ไหน ใครได้อะไรบ้าง ก็เพียงเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องกระทบสัมผัส ตื่นเต้นสุขทุกข์ดีใจกับสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจแล้วทั้งหมดนั้น อยู่ที่ไหน ตลอดชีวิตอยู่ที่ไหน จบไปไม่เหลือเลย แล้วก็สะสมสิ่งที่น่ารังเกียจ (อกุศล) มากมายมหาศาลต่อไปอีก จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรม และรู้จุดประสงค์ของการฟังว่า เพื่อละคลายอกุศล
[๘] ยิ่งฟังพระธรรม ก็ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา ไม่มีทางเลยที่สัตว์โลกจะได้เข้าใจความจริงในฐานะของสาวก ประโยชน์สูงสุดที่ทุกคนจะพึงได้ คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ
[๙] พระธรรม อันตรธานจากใจของผู้ที่ไม่ได้ศึกษา
[๑๐] ไม่ว่าจะเป็นขันธ์หนึ่งขันธ์ใดในชาติหนึ่งชาติใดในแสนโกฏิกัปป์ หรือ ในชาติปัจจุบันนี้เอง หรือแม้แต่ในชาติต่อไปข้างหน้า ไม่มีความแตกต่างกันเลย เพราะขันธ์ทุกขณะ เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ
[๑๑] ไม่มีตัวเราตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า มีแต่ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏเฉพาะทางหนึ่งทางใด แต่ละทวารทีละลักษณะเท่านั้นจริงๆ
[๑๒] พึงเป็นผู้ตรง ไตร่ตรองตามพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง
[๑๓] การฟังธรรม การสนทนาธรรม เป็นมงคลอันประเสริฐ เพราะจะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ละคลายความไม่รู้ ละคลายความเห็นผิด ละคลายความสงสัย
[๑๔] ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน เกิดมาแล้วทั้งในสุคติภูมิและทุคติภูมิ แต่ในชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในสุคติภูมิ และดีที่สุดแล้วที่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลย แต่ก็ได้เริ่มต้นพบทางรอดจากกิเลสแล้วซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมอบรมเจริญปัญญาต่อไป
[๑๕] มด ยังปีนขึ้นภูเขาได้ ... มีหรือที่ผู้มีศรัทธา มีความอดทน มีความเพียรในการฟัง ในการศึกษาพระธรรมแล้ว จะไม่เข้าใจ?
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๙ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๙
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
มด ยังปีนขึ้นภูเขาได้ ... มีหรือที่ผู้มีศรัทธา มีความอดทน มีความเพียรในการฟัง ในการศึกษาพระธรรมแล้ว จะไม่เข้าใจ?
... ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา อ. คำปั่น ด้วยค่ะ ...
"...ฟังพระธรรม เพื่อขัดเกลากิเลสทุกอย่าง เพราะเห็นโทษของกิเลส จึงขัดเกลา ซึ่งถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็จะไม่มีการขัดเกลากิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น..." และ
"...ขณะใดที่เข้าใจธรรม เข้าใจความจริง นั่นเป็นประโยชน์ตน จะเอาไปให้คนอื่นก็ไม่ได้ แต่สามารถที่จะกล่าวถึงความจริงให้บุคคลอื่นได้รับประโยชน์ด้วย แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ตน ก็ไม่สามารถเกื้อกูลให้ผู้อื่นเข้าใจได้เลย..."
เป็นการย้ำเตือนที่เป็นประโยชน์มากครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่นด้วยครับ
... ดีที่สุดแล้วที่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลย แต่ก็ได้เริ่มต้นพบทางรอดจากกิเลสแล้ว ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมอบรมเจริญปัญญาต่อไป ...
ขออนุโมทนาค่ะ
การฟังธรรม การสนทนาธรรม เป็นมงคลอันประเสริฐ เพราะจะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ละคลายความไม่รู้ ละคลายความเห็นผิด ละคลายความสงสัย
กราบอนุโมทนา อ. คำปั่น และทุกๆ ท่านค่ะ
สิ่งที่สำคัญทีสุดในชีวิตคือ การทำความดี และ การเข้าใจธรรมะ ค่ะ
"ดีที่สุดแล้วที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลย แต่ก็ได้เริ่มต้นพบทางรอดจากกิเลสแล้ว.."
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ สะสมแต่สิ่งที่น่ารังเกียจมาตลอดทั้งชีวิต ไม่ได้อะไรเลยนอกจากได้เห็น ได้ยิน ได้กระทบทั้งหมด ประโยชน์ทั้งหมดก็เพื่อเข้าใจธรรม
ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ฟังจนกว่าจะเห็นถูกทีละน้อยว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แค่นี้ก็ยังยากที่จะเข้าใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ และจะเห็นถึงความไม่รู้ว่ามากจนกระทั่งว่าไปติดข้องในสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วหมดไป เห็นถึงความไม่รู้ได้เลยว่ามากมายแค่ไหน ติดข้องเพราะไม่รู้ ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้ และละคลายความติดข้อง
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ