ละ อัตตสัญญา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากพระไตรปิฎก และ ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ละ อัตตสัญญา
จนกว่าจะละ อัตตสัญญา
ไม่มีนั่ง นอน ยืน เดิน ไม่มีแขน ตา กระดูก เลือด
ไม่มีอะไรทั้งหมด
มีแต่ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
จริงเมื่อไร
ปัญญาสามารถที่จะละคลาย
วางการที่เคยยึดถือ ขันธ์ ๕ ว่าเป็นเรา
ขณะนั้นจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า ค่อยๆ คลาย
บัญญัติปิดบังปรมัตถ์
ขณะใดที่สติปัฏฐานไม่เกิด
ขณะนั้นความคิดนึกจะปิดบังไม่ให้รู้ลักษณะของปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานด้วย และกำลังฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน ย่อมจะมีโอกาส มีปัจจัยที่สติจะเกิดระลึกได้ในขณะที่กำลังฟังนี้เอง ระลึกลักษณะของปรมัตถธรรมสลับกับความคิดนึกก็ได้
เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานเมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้น
ระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แม้เพียงเล็กน้อย ก็รู้ว่าปรมัตถธรรมกำลังสลับกับความคิดนึก
เห็นแล้วคิด
เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา
แล้ว
คิด ว่าเป็นอะไร เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
คิดและพูด ตามอวิชชาและโลภะ
ทุกคนคิดทุกวัน แต่ว่าความคิดของแต่ละคน
จะไม่พ้นจากการสะสมของ อวิชชาและโลภะ ในเรื่องต่างๆ
ใครก็ตามจะคิดเรื่องอะไร ต้องเพราะ (อวิชชา) โลภะในเรื่องนั้น
ทำไมคนที่ไม่ได้สะสมมาในเรื่องการจัดดอกไม้
จะไปคิดเรื่องการจัดดอกไม้ เป็นไปไม่ได้ ...
โลภะและอวิชชาก็ทำให้ชีวิตแต่ละคนเป็นไปตามการสะสมต่างๆ กัน
แม้แต่วันนี้เราจะชอบผลไม้ชนิดไหน ชอบอาหารชนิดไหน
วันหนึ่งๆ ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด จะรู้ได้เลยว่า บังคับบัญชาไม่ได้
คิดนึก ตามอวิชชาและโลภะ
พูด ตามอวิชชาและโลภะ ที่สะสมม
สำรอก ฉันทะ โลภะ และ อวิชชา ได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ส่วนวิชชาแล เป็นหัวหน้าแห่งการถึงพร้อมแห่งกุศลธรรม หิริและโอตตัปปะเป็นไปตาม. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ทุคติอย่างใดอย่างหนึ่ง ในโลกนี้ และในโลกหน้า ทั้งหมดมีอวิชชาเป็นมูล อันความปรารถนาและความโลภก่อขึ้น ก็ เพราะเหตุที่บุคคลเป็นผู้มีความปรารถนาลามก ไม่มีหิริ ไม่เอื้อเฟื้อ ฉะนั้น จึงย่อมประสบบาป ต้องไปสู่อบาย เพราะบาปนั้น
เพราะเหตุนั้น ภิกษุสำรอกฉันทะ โลภะและอวิชชาได้
ให้วิชชาบังเกิดขึ้นอยู่ พึงละ คือ พึงสละพึงก้าวล่วงทุคติทั้งปวงเสียได้.
เป็นแต่เพียงสภาพธรรมตลอด
วันหนึ่งๆ เป็นวิบาก ระลึกขึ้นได้ว่าเป็น วิบาก
ในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน แล้วก็เป็นกุศลเป็นอกุศล
ต่อจากนั้น ก็จะทำให้รู้ว่า
เป็นแต่เพียงสภาพธรรมตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย
คลายการยึดถือสภาพธรรม
ต้องคลายการยึดถือสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้
ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด
[เล่มที่ 20] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 283
การเจริญภาวนาธรรม ๖ อย่าง
[๑๔๕] ดูก่อนราหุล
เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาทได้
เธอจงเจริญกรุณาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญกรุณาภาวนาอยู่ จักละวิหิงสาได้
เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่ จักละอรติได้
เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่ จักละปฏิฆะได้
เธอจงเจริญอสุภภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวนาอยู่ จักละราคะได้
เธอจงเจริญอนิจจสัญญาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่ จักละอัสมิมานะได้.
ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ.
แม้จะให้ทรัพย์สมบัติ ข้าวสาลี ข้าวเหนียว โค ม้า ข้าทาสหญิงชายหมดทั้งแผ่นดิน ก็ยังไม่พอแก่คนๆ เดียว รู้อย่างนี้แล้ว
พึงประพฤติธรรมสม่ำเสมอ.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"แม้ทองคำเท่าภูเขาก็ยังไม่พอกับโลภะของคนๆ เดียว"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอและทุกๆ ท่านครับ