หิริโอตตัปปะ เป็นธรรมคุ้มครองโลก
หิริ เป็นเจตสิกที่มีความละอาย มีความรังเกียจอกุศลธรรม
โอตตัปปะ เป็นเจตสิกที่หวั่นเกรง เกรงกลัวโทษของอกุศลธรรม
หิริโอตตัปปะ เกิดพร้อมกับกุศลจิตทุกประเภท การให้ทาน การวิรัติงดเว้น การอบรมเจริญปัญญา เพราะเหตุว่าเหตุที่ให้เกิดอกุศลในชีวิตประจำวันนั้นมีมาก หากไม่มีหิริ โอตตัปปะซึ่งเป็นธรรมที่คุ้มครองโลก กิเลสที่สะสมมามากจะหมดไปได้อย่างไร
ขณะที่ฟังธรรมเข้าใจ ขณะนั้นจิตผ่องใสเป็นกุศล มีหิริโอตตัปปะเกิดร่วมด้วย แต่ยังไม่สามารถรู้หิริโอตตัปปะที่เกิดขึ้นและดับไปแล้ว เพียงแต่เข้าใจเรื่องได้ว่าขณะฟังธรรมเข้าใจ ขณะนั้นมีความละอายต่อความไม่รู้ เพียงเห็นก็ชอบแล้ว ขณะนั้นเกิดหิริ โอตตัปปะไหม แค่เห็นดอกไม้ก็ชอบแล้ว ขณะนั้นเป็นอกุศลจิตไม่มีความละอาย ไม่เกรงกลัวต่ออกุศลธรรม แท้จริงแล้วเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพียงปรากฏสั้นมากแล้วหมดไป แต่เรื่องที่คิดไม่จบ ... คิดในเรื่องราวที่ไม่มีจริง แล้วก็ติดข้อง จึงต้องฟังแล้วฟังอีกให้เข้าใจ การเจริญขึ้นตามลำดับของความเข้าใจ จะทำหน้าที่ละความไม่รู้ ละความติดข้อง ละกิเลสตามลำดับ ไม่ใช่ฟังแล้วก็ผ่านเลยไป หรือฟังจน กว่าสัญญาจะมั่นคงว่า ขณะนั้นเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น เริ่มเข้าใจถูกต้องว่าขณะที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็ติดข้อง แท้จริงแล้วไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย เริ่มเข้าใจถูกต้องในความเป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง
ขณะใดไม่รู้ตามความเป็นจริง ขณะนั้นไม่มีหิริโอตตัปปะ ต่อเมื่อฟังแล้วเข้าใจ จึงเห็นโทษของความไม่รู้ ... ขณะนั้นเกิดหิริ โอตตัปปะที่ละอายเกรงกลัวต่อบาปอกุศลต่อความไม่รู้ความจริง ... เพราะฟังแล้วเข้าใจ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ
หิริเจตสิก โอตตัปปเจตสิก เป็นโสภณสาธารณะเจตสิกเกิดกับโสภณจิต ... ที่ว่าคุ้มครองโลกในขณะที่เกิดกับกุศลจิต ... กาย ... วาจา จึงไม่ล่วงเป็นทุจริตกรรมและไม่สะสมอกุศลไว้ในจิต สำหรับในชีวิตประจำวัน หิริ โอตตัปปะ ก็ไม่ควรที่จะเป็นเฉพาะในระดับขั้นที่มีความละอาย มีความเกรงกลัวต่อกิเลสขั้นหยาบๆ ที่ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เท่านั้น ต้องละเอียดลึกลงไปถึงเห็นโทษของกิเลส แม้ไม่ได้ล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมด้วย พร้อมทั้งไม่ประมาทในการอบรมเจริญปัญญา อันเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นในที่สุด (ข้อความโดย อ.คำปั่น)
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในวันหนึ่งที่กุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปนั้น จะไม่ปราศจากธรรมฝ่ายดี ๒ อย่าง คือ หิริ และ โอตตัปปะ เลย (หิริ เป็นความละอายต่อบาป โอตตัปปะเป็นความเกรงกลัวบาป เกรงกลัวผลของบาปที่จะเกิดขึ้น) การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น การวิรัติงดเว้นจากทุจริตกรรมประการต่างๆ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น การไม่โกรธผู้อื่น ให้อภัยความประพฤติไม่ดีของผู้อื่น เป็นต้น ล้วนเพราะหิริโอตตัปปะ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ทั้งนั้น ซึ่งจะตรงกันข้ามกับขณะที่เป็นอกุศลอย่างสิ้นเชิง เพราะขณะใดก็ตามที่จิตเป็นอกุศล ขณะนั้นปราศจากหิริโอตตัปปะ ในขณะที่หิริโอตตัปปะเกิดขึ้นนั้น คุ้มครองให้จิตไม่เป็นอกุศล และในขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ ความเดือดร้อน ทั้งแก่ตนและแก่บุคคลอื่นเลย ครับ
..กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา และทุกๆ ท่านด้วยครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สติกับหิริ นอกจากจะอาศัยกันและกันแล้ว บางครั้งยังทำหน้าที่แทนกันได้ด้วย เช่น ทรงแสดงว่า "สติเป็นเครื่องห้ามเป็นเครื่องกั้นกระแสแห่งความอยาก" และทรงแสดงว่า "คนที่ห้ามอกุศลวิตกอันเกิดขึ้นในใจด้วยหิริ หรือคนทั้งหลายที่ห้ามใจได้ด้วยหิริ" ทั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า "ธรรมนั้นเป็นปัจจัยของกันและกันอยู่เสมอ"
หิริ โอตตัปปะ นอกจากเป็นธรรมคุ้มครองโลกแล้วก็ยังเป็นเทวธรรมด้วย คือ ธรรมที่ทำให้คนเป็นเทวดา ด้วยร่างกายที่เป็นมนุษย์นี้เอง
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา และทุกๆ ท่านด้วยครับ...
การเจริญขึ้น ตามลำดับของความเข้าใจ จะทำหน้าที่
ละความไม่รู้
ละความติดข้อง
ละกิเลสตามลำดับ
ขณะใด ไม่รู้ ตามความเป็นจริง ...
ขณะนั้น ไม่มี หิริ โอตตัปปะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา อ.คำปั่น และทุกท่านค่ะ
อ่านแล้วเตือนให้เข้าใจว่า ขณะที่ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะนั้นไม่ตรง และไม่ละอายต่อความไม่รู้
เหตุนี้ ต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไป เพื่อละความไม่รู้ ที่ทำให้เห็นผิดยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์บุคคล ว่าเป็นเรา
กราบขอบพระคุณในกุศลธรรมทุกทุกท่านทุกประการค่ะ