โอฆะ ๔.....และบุคคล ๗ จำพวก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๓๔ บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ประการต่อไปก็เป็น อกุศลธรรมที่เป็น "โอฆะ ๔" ถ้าตราบใดที่ยังไม่บรรลุอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล ก็ไม่พ้นไปจากห้วงน้ำของกิเลสซึ่งตัวท่านก็พิจารณาได้นะคะว่า ท่านมีแม่น้ำหรือว่ามีห้วงน้ำ ที่จะกั้นท่านให้จมอยู่ให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏะมากมายสักเท่าไร
หรือว่าลดลงไป ละคลายลงไปได้แล้ว สำหรับองค์ธรรม หรือ สภาพธรรมที่ที่เป็น โอฆะก็เหมือนกับ อาสวะทั้ง ๔ ได้แก่ กาโมฆะ ๑ ภโวฆะ ๑ ทิฏโฐฆะ ๑ อวิชโชฆะ ๑ เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าทุกครั้งที่ กามาสวะ (หรือกามโอฆะ) กาโมฆะเกิดขึ้นทำให้ท่านไม่พ้นไปจาก การเกิด การตาย
ภวาสวะ หรือภโวฆะ เกิดขึ้น ไม่ทำให้ท่านพ้นไปจากการเกิด การตายเช่นเดียวกับ ทิฏโฐฆะและทิฏฐาสวะ อวิชโชฆะและอวิชชาสวะ
ในปุคคลาปัญญัติปกรณ์ อภิธรรมปิฎก ได้กล่าวถึงบุคคลจมน้ำ ๗ พวก
๗ พวกนี้ ก็เป็นพระอริยบุคคล ๔ พวก แล้วก็เป็นผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคลอีก ๓ พวก
สำหรับพระอริยบุคคล ๔ พวกนั้น คือ
พระโสดาบันบุคคลนั้น เปรียบเหมือนกับบุคคล ที่โผล่ขึ้นเหลียวมองดู
พระสกทาคามีบุคคลนั้น เปรียบเหมือนบุคคลที่โผล่ขึ้น แล้วว่ายต่อไป
พระอนาคามีบุคคลนั้น เปรียบเหมือนบุคคลที่โผล่ขึ้น แล้วว่ายไปถึงยังที่ตื้น พอที่จะหยั่งได้
ส่วนพระอรหันต์นั้น ซึ่งเป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๔ เปรียบเหมือนบุคคลที่โผล่ขึ้น แล้วว่ายข้ามไปถึงฝั่ง ยืนอยู่บนบก จึงเป็นผู้พ้นจากห้วงโอฆะของความเกิด ความตาย
ผู้ที่ยังไม่บรรลุเป็นพระอริยบุคคล มี ๓ จำพวก คือ
๑. ผู้ที่จมแล้วไม่โผล่ ไม่โผล่เลย ยังจมอยู่ใต้น้ำ ได้แก่ คนที่เกิดมาแล้ว แวดล้อม พัวพัน หมกมุ่น อยู่แต่เฉพาะในอกุศลธรรม ฉะนั้น จึงเป็นบุคคลที่ จมแล้วไม่โผล่
๒. ส่วนอีกบุคคลหนึ่ง คือบุคคลจำพวกที่ ๒ นั้นโผล่ขึ้นแล้วจมลงอีก ได้แก่ ผู้ที่โผล่ขึ้นทำกุศลธรรม แต่ไม่เจริญกุศลอยู่เป็นนิจ
๓. ส่วนอีกบุคคลอีกประเภทหนึ่งนั้น ก็เป็นผู้ที่โผล่ขึ้นจากน้ำ แล้วหยุดอยู่ ไม่จมลงไปอีก ได้แก่ บุคคลที่เจริญกุศล แล้วไม่ประมาทเพียรเจริญกุศลสม่ำเสมอตลอดไป จนกว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอเชิญชวนสหายธรรมจำแนกดูว่าท่านเป็นบุคคลจำพวกไหน
ส่วนข้าพเจ้าคิดว่าเป็นพวกไม่ใช่พระอริยบุคลลประเภทที่ ๒
ขออนุโมทนาคุณปริศนาค่ะ ดิฉันชอบฟังเรื่องอกุศลกรรม ๙ กองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องโอฆะและอาสวะ เพราะลึกซึ้ง ทำให้เห็นตัวเองทั้งจมทั้งสำลักในห้วงน้ำกิเลสอยู่เสมอๆ ในชีวิตประจำวัน
ขออนุโมทนาคุณปริศนาค่ะ อ่านแล้วอ่านอีกหลายๆ รอบทำให้เข้าใจขึ้นในสิ่งที่คิดว่าเข้าใจแล้ว
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
เป็นประเภทผลุบๆ โผล่ๆ ค่ะ และทำท่าว่าจะผลุบบ่อยมากกว่าโผล่ เวลาโผล่มาก็ไม่รู้ว่าทันได้ลืมตามองดูก่อนจะผลุบลงไปใหม่หรือไม่อีกด้วย ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณปริศนา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหมดที่ได้ฟัง ฟังเพื่อเข้าใจในขณะนั้นเพื่ออะไร เพื่อสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จนกว่าสามารถที่จะเข้าใจคำแรกที่ได้ยิน สิ่งที่มีจริงสามารถจะเข้าใจถูกเห็นถูกแม้ปรากฏเพียงสั้นๆ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงอนุเคราะห์ให้ค่อยๆ มีปัญญา ค่อยๆ เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย สะสมไว้ เข้าใจไว้ทุกเรื่อง เพื่อที่จะรู้ได้ว่าชีวิตที่ผ่านมาของเรารู้ไม่ได้ แต่ของพระสาวกรู้ได้ เพราะทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า ในชาติก่อนๆ แต่ละชาติที่ได้ฟังธรรม ได้สะสมความเข้าใจในแต่ละภพมามากน้อยอย่างไร ชีวิตดำเนินไปอย่างไร แต่ทั้งหมดก็คือเพื่อที่จะได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นพระสูตรต่างๆ ที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา เป็นเรื่องของสภาพธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะในกาลใด เช่น โลภะ ความติดข้องเกิดขึ้นในสิ่งที่ปรากฏทางตา เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏเป็นดอกไม้ ก็พอใจในสีสันของดอกไม้ แล้วก็ไปเห็นอื่นอีก ก็มีโลภะความติดข้อง เพียงแต่สิ่งที่ถูกติดข้องเปลี่ยนไป แต่ลักษณะของความติดข้องไม่เปลี่ยน แต่ก็สะสมมากขึ้นด้วย ทำให้ยากต่อการที่จะข้ามโอฆะของความไม่รู้
เวลาศึกษาเรื่องของอกุศล อกุศลเจตสิกมี ๑๔ แต่ก็มีประเภทต่างๆ เช่น พระผู้มีพระภาคตรัสถึงโอฆะ อะไรเป็นโอฆะบ้าง
อ.วิชัย โอฆะ ห้วงน้ำ ทรงแสดงไว้ ๔ อย่าง มีกาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ และอวิชโชฆะ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม มีแล้วจะข้ามอย่างไร เห็นไหม แล้วโอฆะไม่เล็กน้อยเลย กว้างใหญ่ไพศาลมาก ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ได้ยินได้ฟังว่า ขณะนี้ต้องมีเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก่อนที่จะเห็นเป็นดอกไม้สีสันต่างๆ สิ่งที่ปรากฏดับแล้ว แล้วเห็นก็ดับแล้ว โอฆะเพียงใด กว่าจะข้ามจากความไม่รู้ มาค่อยๆ เข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ และในสภาพรู้ที่กำลังเห็น
เพราะฉะนั้นแต่ละคำประมาทไม่ได้เลย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม แม้ในการฟัง ต้องละเอียดจริงๆ ต้องรู้จักตัวเองจริงๆ ต้องรู้ว่าฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจ ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ ก็ฟังต่อไป ไม่ว่าจะโดยนัยของพระวินัย พระสูตร หรือพระอภิธรรม ก็เพื่อให้เป็นผู้ที่ตรงต่อการที่ควรที่จะได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ดีกว่าเกิดมาแล้วไม่รู้ แล้วก็จากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงมีค่านับประมาณไม่ได้ทุกคำ
ส่วนหนึ่งจากพื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 955
www.dhammahome.com/cd/topic/194/55
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
ขอบพระคุณและอนุโมทนากุศลธรรมทานทุกท่านค่ะ