ไม่รู้จึงไม่สงบ ลังเลสงสัย


    ผู้ถาม ไม่มีทั้งวิจิกิจฉา และไม่มีทั้งอุทธัจจะมีไหม

    สุ. อุทธัจจะต้องเกิดกับอกุศลจิตทุกประเภทอยู่แล้ว โมหเจตสิกเป็นเจตสิก ๑ ใน ๕๒ จะไปปนกับเจตสิกอื่นไม่ได้

    ผู้ถาม หมายความว่าตัวเดียวของเขา ไม่ได้เกิดร่วมด้วยกับใครเลย

    สุ. เวลาที่จิตเกิดขึ้นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย โมหเจตสิกมีหลายชื่อ อวิชชาเป็นชื่อหนึ่งของโมหเจตสิก ไม่รู้

    อ.ธิดารัตน์ จะหมายถึงเวลาที่ลักษณะของโมหะปรากฏกับจิตได้หรือเปล่าที่เป็นลักษณะเพียงความไม่รู้อย่างเดียว

    สุ. ยังไงก็ตาม ขณะนี้ก็จะมีความสงสัย ๒ อย่างคือ สงสัยลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง และสงสัยชื่อว่าจะเรียกชื่ออะไรอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งความจริงไม่ใช่เรื่องของการเรียกชื่อ แต่ว่าไม่หมดความสงสัยใช่ไหม เพราะฉะนั้นเวลาที่ขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศลจิต ไม่มีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่มีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นโมหมูลจิตวิจิกิจฉาเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นโมหเจตสิกประเภทหนึ่งเพราะเหตุว่า โมหมูลจิตมี ๒ อย่าง ๒ ประเภทไม่ใช่ประเภทเดียว ประเภทหนึ่งมีวิจิกิจฉาเจตสิกเกิดร่วมด้วย อีกประเภทหนึ่งไม่มีวิจิกิจฉาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ก็ตรง ครบ

    อ.ธิดารัตน์ โมหะที่ประกอบกับอุทธัจจะ รู้สึกว่าจะเป็นความไม่รู้จริงๆ เพราะว่าขณะนั้นเป็นความไม่รู้ในอารมณ์ แม้กระทั่งอารมณ์ที่ปรากฏ ก็เป็นไปด้วยความไม่รู้ เป็นลักษณะที่รู้ได้ยากจริงๆ

    สุ. ลักษณะนั้นมีใช่ไหม

    อ.ธิดารัตน์ มี

    สุ. มีโลภะเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ไม่มี

    สุ. มีโทสะเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ไม่มี

    สุ. มีความสงสัยเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ไม่มี

    สุ. เพราะฉะนั้นเป็นอะไร

    อ.ธิดารัตน์ เป็นโมหอุทธัจจะ

    ผู้ถาม คือลักษณะที่ฟุ้ง มีกำลัง โมหะมีกำลังให้เรารู้สึกว่าความโง่ ความไม่รู้ว่ามี แต่ตัวฟุ้ง มองไม่เห็น ก็เลยรู้สึกว่ามีโมหะอยู่ตัวเดียว แต่ความจริงสัมปยุตต์ด้วยอุทธัจจะอยู่แล้ว

    สุ. ไ ด้ยินคำนี้บ่อยเลย “ฟุ้ง” นี่เป็นยังไง ไปเรียกชื่อภาษาบาลีแต่ว่าลักษณะเป็นยังไง "ฟุ้ง"ได้ยินบ่อยมากเลย เป็นยังไง ตอบกันได้เร็วเลย ฟุ้งคืออุทธัจจะแต่ลักษณะเป็นยังไง ฟุ้งนี่ เพียงแค่ขณะที่ไม่มีโลภะเกิดร่วมด้วย ไม่มีโทสะเกิดร่วมด้วย ไม่มีวิจิกิจฉาเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นฟุ้งอะไร เหมือนเข้าใจ แต่ความจริงเข้าใจคำว่า “ฟุ้ง” ยังไง

    ผู้ฟัง มีลักษณะที่คิดไปเรื่อยเปื่อย ไม่เป็นเรื่องเป็นราว

    สุ. คิดด้วยโลภะมีไหม ไม่เป็นเรื่องเป็นราว แต่เป็นโลภะทั้งนั้นเลยคิดไม่เป็นเรื่องเป็นราว แต่เป็นโทสะทั้งนั้นเลย มีไหม

    ผู้ฟัง มีได้

    สุ. แล้วยังไง อยากจะทราบความหมายภาษาไทยที่บอกว่าฟุ้ง เป็นยังไง

    ผู้ฟัง แปลว่ากระจายไปในอากาศ

    สุ. ไม่ใช่ ในอากาศไม่ได้ เป็นจิต จะกระจายไปในอากาศได้ยังไง อันนี้คือเราไม่ได้เข้าใจ แต่เราใช้คำ แล้วเราคิดว่าเราเข้าใจ

    อ.กุลวิไล ในอัฏฐสาลินี ท่านให้ขยายความเกี่ยวกับนิเทศของอุทธัจจะว่าเป็นอาการที่ฟุ้งซ่าน และก็เป็นความไม่สงบ

    สุ. อันนี้จะชัดไหม ความไม่สงบของจิต เพราะขณะนั้นเป็นอกุศลแต่ว่าฟุ้งนี่ฟุ้งยังไง มีหลายอย่าง จะตอบว่าฟุ้งเป็นอุทธัจจะ แล้วโลภะเอาไปไว้ที่ไหน โทสะเอาไปไว้ที่ไหน คือความไม่รู้ และไม่สงบ เพราะขณะนั้นเป็นอกุศลต้องบอกด้วย

    ผู้ถาม คนที่สติไม่สมประกอบก็คิดไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ

    สุ. เขามีโลภะหรือเปล่าขณะที่กำลังคิด

    ผู้ถาม ไม่มี

    สุ. เขาสนุกร้องรำทำเพลงไม่เป็นเรื่อง

    ผู้ถาม เขาก็ไม่ได้คิดว่าอยากจะได้โน่น อยากจะเป็นนี่

    สุ. เขารู้ตัวหรือเปล่าว่าอยากเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขณะไหน แค่เห็น ติดหรือยัง

    ผู้ถาม คงจะไม่รู้ตัว

    สุ. ขณะเห็นยังไม่รู้เลยว่าติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ แล้วจะไปรู้ในลักษณะของอุทธัจจะได้ไหม ขณะนั้นโลภะเกิด โลภะเป็นสิ่งที่จะรู้ได้มากกว่าอุทธัจจะหรือเปล่า

    อ.กุลวิไล มันก็น่าจะพิจารณาเพราะว่าอุทธัจจเจตสิกเกิดกับอกุศลจิตทั้ง ๑๒ ประเภทเลย เพราะฉะนั้นขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นความไม่สงบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้วยโลภะหรือโทสะ หรือโมหะก็ตาม ก็เป็นสภาพที่ไม่สงบ และมีความฟุ้งซ่าน


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 176


    หมายเลข 10007
    3 ก.ย. 2567