คิดเป็นธาตุที่กำลังจำแล้วก็คิดถึงสิ่งที่เคยปรากฏ
แต่สภาพของจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะแล้วก็รู้อารมณ์คือสิ่งที่จิตกำลังรู้ทีละ ๑ อย่างเท่านั้นเอง แต่ว่าส่วนใหญ่เราจะไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาสั้นมาก เล็กน้อยมาก เกิดแล้วดับไป แต่ความจำ และความคิดในเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาโดยไม่รู้มากมายมหาศาล โดยไม่รู้ นี่คืออวิชชา เพราะฉะนั้นฟังจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่าเราอยู่คนเดียวจริงๆ กับความคิดทุกเรื่องไม่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจะเห็นเป็นอะไร นั่นคือจากความคิด เห็นแล้วชอบหรือไม่ชอบก็จากความที่สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น คือทั้งหมดเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความตรงว่าเราฟังเพื่อเข้าใจธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เราก็จะไม่คิดถึงคนอื่นเลย ใครจะเข้าใจมากน้อยยังไงก็เป็นเรื่องความคิดของเราต่างหาก เพราะจริงๆ แล้วจิตของใครก็เกิดมาตามการสะสมปรุงแต่งเป็นไปของจิตแต่ละบุคคล แต่ละขณะไป ถ้าเป็นอย่างนี้เราก็เบาสบายคือเป็นผู้ตรงว่าวันนี้ที่กำลังได้ฟังธรรม เพื่อเข้าถึงความเข้าใจที่ถูกต้องว่าไม่มีเราแต่เป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตา จนกว่าจะถึงวันนั้น ถ้าฟังอย่างนี้เราก็ไม่เดือดร้อนเลยใช่ไหม จะถึงเมื่อไหร่ยังไงเพราะว่ากำลังเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง นี่เป็นประโยชน์สูงสุด คือไม่ใช่ไปเข้าใจเรื่องอื่น แต่ว่ากำลังฟังเรื่องอะไรทุกคำที่ได้ยิน ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งนั้น ไม่ใช่ไปคิดล่วงหน้าถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วกลายเป็นเรื่องไม่เข้าใจทั้งหมด ตัดเรื่องที่ไม่เข้าใจทั้งหมดเพราะเหตุว่า เผิน เพียงอ่านแล้วก็จำชื่อ แล้วก็คิดว่าเข้าใจแล้ว แต่ตามความจริงคือขณะนี้เป็นธรรม เราฟังเพื่อให้เข้าใจ แม้แต่อวิชชาที่ว่ามีใครต้องการไหม ไม่มี แต่ถ้าไม่มีเหตุที่จะให้อวิชชานั้นหมดไป อวิชชานั้นก็หมดไม่ได้ ก็นับวันก็เพิ่มขึ้น พร้อมกับความท้อถอยหรือว่าพร้อมกับความหวังด้วยความเป็นเรา แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่าการเข้าใจธรรมทีละเล็กทีละน้อยก็เป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งที่สามารถจะทำให้ละความติดข้อง และความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏมีแน่นอน ถ้าเราไม่รู้ตัวว่าเราไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เราก็จะไม่ฟัง แต่เมื่อเราไม่เข้าใจ เราก็ฟังไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถเข้าใจได้ เพราะว่าเรื่องความละเอียดของธรรม มาก เราอาจจะคิดไม่ถึงเลย อย่างได้ยินคำว่า “สติปัฏฐาน” เข้าใจ อยากทันที นี่ผิดแล้ว ลืมทั้งหมดที่เราฟังมา เพื่อที่จะเข้าใจว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา และในขณะที่มีความจงใจมีความเป็นตัวตน ขณะนั้นจะไม่รู้เลย ด้วยโลภะ ด้วยตัณหา ด้วยอวิชชา ไม่เปิดโอกาสที่จะให้สติเกิดจนกระทั่งมีกำลังที่จะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน แต่กลายเป็นเราจะพยายามทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องละเอียดจริงๆ ว่าการฟังพระธรรมเพื่อให้ถึงการประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม แต่ต้องอาศัยการฟังตั้งแต่ขั้นต้นคือฟังเรื่องราวของสภาพธรรมก่อน จนกว่าสามารถที่จะมีสติสัมปชัญญะที่กำลังเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นก็ถ้าเข้าใจจุดประสงค์อย่างนี้ก็คงจะไม่ท้อถอย หรือคนที่ท้อถอยแล้วก็คงจะรู้ว่าท้อถอยไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร และก็ท้อถอยไปทุกชาติก็ไม่ได้อะไร แต่ฟังแล้วก็เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังจริงๆ ขณะนั้นก็จะไม่ท้อถอย
ที่มา ...