ความสงสัยในสภาพธรรม
อ.วิชัย ถามคุณป้าสุรีย์ ถ้าพูดถึงวิจิกิจฉาที่ทรงแสดง ๘ อย่าง เช่นถ้าเป็นไปในขันธ์ที่เป็นส่วนอดีตกับวิจิกิจฉาเป็นไปในขันธ์ส่วนอนาคต ลักษณะของวิจิกิจฉาแตกต่างกันไหม
สุ. อดีตก็คืออดีต แต่ในขณะนั้น มีปัจจุบันคั่นซึ่งสะสม ดิฉันคิดง่ายๆ ว่า อันนี้เป็นผลในอดีตเพราะเราเจริญเหตุ เหตุดีไม่ดีเราก็รับผล เพราะฉะนั้นจะบอกว่าสงสัยเหมือนกัน ไม่เหมือนแน่ ไม่เหมือนโดยการสะสม
อ.วิชัย ถ้ากล่าวโดยลักษณะของวิจิกิจฉา คือยังไง
สุ. คือการสงสัย
อ.วิชัย การสงสัยลังเล ใช่ไหม ตัดสินใจไม่ได้
สุ. ใช่ แต่ตอนนี้ถ้าเผื่อเรามีปัญญา ความสงสัยก็จะลดน้อยลง
อ.วิชัย ถ้าโมหะขณะนี้ เห็น ความไม่รู้เกิด ความไม่รู้นั้นปกปิดในทุกข์ด้วยไหม ในสมุทัย ในนิโรธ ในมรรคด้วยไหม ความไม่รู้ที่เกิดขึ้นในสิ่งที่กำลังเห็น
สุ. คุณวิชัยสงสัย ถามคุณสุรีย์เพื่อที่จะได้ทราบว่าความจริงเป็นยังไง ตามความคิดความเข้าใจ เพราะเหตุว่าที่คุณสุรีย์พูดไม่ได้พูดถึงความสงสัย แต่พูดถึงเรื่องอื่น คือการสะสมด้วย แต่ทีนี้เราควรจะพูดเฉพาะลักษณะของความสงสัยก่อน คือว่าแต่ละเรื่อง ถ้าจะเข้าใจอะไรก็ให้พูดถึงเรื่องนั้น ตรงประเด็นนั้น ความสงสัยเป็นสภาพธรรมที่เป็นอกุศล เพราะว่าเกิดร่วมกับความไม่รู้ จึงสงสัย ถ้ารู้แล้วก็ไม่สงสัยนี่แน่นอน และอย่างที่คุณวิชัยถามเพื่อที่จะได้ฟังความเห็นของคุณสุรีย์ว่าคุณสุรีย์เข้าใจว่ายังไง ความสงสัยในอดีตกับความสงสัยในอนาคตเหมือนกันหรือเปล่า อดีตเป็นขันธ์หรือเปล่า อนาคตเป็นขันธ์หรือเปล่า ขณะนี้เป็นขันธ์หรือเปล่า ถ้าสงสัยในอดีต สงสัยในขันธ์หรือเปล่า หมายความว่าเราจะพูดเพื่อให้เข้าใจจริงๆ ในเรื่องความสงสัยเพราะว่าแสดงไว้ ใช่ไหม ในอดีต ในอนาคต ในทั้งอดีต และอนาคตด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราเจอพยัญชนะอย่างนี้แล้วเราจะเข้าใจยังไง ถ้าเป็นความคิดของเราๆ คิดเรื่องราว เกิดมาแล้วในชาติก่อน ชาติหน้า ความสงสัยชาติก่อนชาติหน้า สงสัยได้แต่ว่านั่นสงสัยเรื่อง ไม่ได้สงสัยในสภาพธรรมแต่ถ้าเราจะรู้ว่าถ้าไม่มีขันธ์ ไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป เรื่องมีได้ไหม ไม่ว่าจะชื่ออะไร จะชื่อพระเจ้ามหาสุทัสสนะ จะชื่ออะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป เรื่องต่างๆ มีไม่ได้
เพราะฉะนั้นความจริง จริงๆ ก็คือสภาพธรรม เมื่อไม่รู้จึงสงสัยในธรรม เช่น ขณะนี้ เรา หรือว่า จิต หรือ เจตสิก หรือ รูป ใช่ไหม ถ้าคนที่เขาไม่ได้ฟังเลย "เรา" แน่นอน รูปหรือเจตสิกหรือจิตก็ไม่รู้ แต่ทั้งหมดนั่นคือ เรา เพราะด้วยความไม่รู้จึงยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเรา จิตเป็นขันธ์หรือเปล่า เจตสิกเป็นขันธ์หรือเปล่า รูปเป็นขันธ์หรือเปล่า สงสัยในขันธ์ หรือว่าในเรื่องชื่อ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเป็นเรื่องชื่อเราไม่สงสัยเลย คนนี้ไม่ใช่คนนั้น ท่านอนาถบิณฑิกะไม่ใช่ท่านพระสารีบุตรใช่ไหม ชื่อนี่เราไม่สงสัย แต่ "ขันธ์" สงสัยไหม มีลักษณะยังไง ต่างกับท่านพระสารีบุตร ต่างกับท่านอนาถบิณฑิกะอย่างไร แต่ตามความเป็นจริงก็คือ ถ้าไม่มีสภาพธรรม ชื่อต่างๆ ก็ไม่มี บุคคลต่างๆ ก็ไม่มี
เพราะฉะนั้นความไม่รู้ ความสงสัยของเรา สงสัยในสภาพธรรม โดยเฉพาะที่ใช้คำว่า "ขันธ์ "สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับอย่างเร็ว ไม่มีใครสามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมด้วยความเป็นตัวตน แต่ต้องด้วยปัญญาที่เจริญอบรม และคลายความไม่รู้ เมื่อคลายความไม่รู้ซึ่งปิดกั้นลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ปัญญาจึงสามารถแทงตลอดประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ได้ เพราะว่าสภาพธรรมเกิด และดับเร็วมาก ยับยั้งไม่ได้เลย เมื่อเกิด และดับอย่างเร็ว ที่เหลือก็คือนิมิตของสังขาร ซึ่งจะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ จะกล่าวว่าปัจจุบัน หรือจะกล่าวว่าอดีต หรือจะกล่าวว่าอนาคต เพราะว่าปัจจุบันนี่สั้นมาก เป็นอดีตไปแล้ว และอนาคตก็มาถึงแล้วด้วย ขณะที่ปัจจุบันหมดไป อนาคตก็มาถึง ก็เป็นปัจจุบันอีก
เพราะฉะนั้นการสงสัยใน ขันธ์ ในอดีต ในอนาคต ก็คือในลักษณะที่ไม่ได้รู้ความจริงของสภาพธรรม ก็ทำให้สงสัย ทุกอย่าง ซึ่งเป็นความจริงแม้แต่ปฏิจจสมุปบาทหรือว่าอริยสัจจะ
ที่มา ...