อยู่ในโลกของความมืดสนิทหรือเปล่า
สุ. ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจถูกต้อง ว่าเรา คิด โดยที่ว่าเราไม่รู้ตัวเลย ทันทีที่เห็นไม่ได้คิดเป็นคำ แต่คิดถึงรูปร่างสัณฐานแล้ว หลังจากเห็น ไม่อย่างนั้นก็จะบอกไม่ได้เลยว่าเห็นอะไร แต่ที่กล่าวว่าเห็นอะไรต้องคิดถึงรูปร่างสัณฐาน แล้วที่จะรู้ว่าเป็นอะไรก็ต้องทางมโนทวาร เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า เราอยู่ในโลกของความคิดมากมายมหาศาล แล้วจิตขณะที่คิดมืดหรือสว่าง
ผู้ถาม ต้องมืดแน่นอน
สุ . มืดสนิทไหม
ผู้ถาม มืดสนิทเลย
สุ. ไม่มีแสงสว่างใดๆ ที่จะเป็นลักษณะของจิตได้เลย สภาพของจิตเป็นสภาพที่เป็นธาตุรู้ นามธาตุ คิดถึงลักษณะของนามธาตุซึ่งไม่มีธาตุใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น เมื่อเกิดขึ้น ก็รู้ เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลกของความมืดสนิทหรือเปล่า ถ้าไม่มีการเห็น
ผู้ถาม มืดสนิทจากการศึกษา แต่ว่าในความเป็นจริงในชีวิตประจำวันที่คิดหรือเข้าใจ สว่างตลอดเวลา
สุ. เพราะไม่รู้ใช่ไหมว่าขณะนี้มีมโนทวาร ซึ่งไม่ได้สว่างเลย ขณะที่เสียงปรากฏก็ไม่ได้สว่างเลย ขณะนั้นก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเรียนธรรมเพื่อเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงว่าไม่รู้อะไรมากแค่ไหน และการที่จะละความไม่รู้ที่ทำให้ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ก็จะต้องมีความรู้ระดับไหนจึงสามารถที่จะดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ ที่จะขอกล่าวถึง ก็คือเพื่อแสดงให้ถึงความต่างของมโนทวารกับทวารอื่นว่าเราอยู่ในความมืดสนิท แค่ไหน เพราะเหตุว่าถ้าไม่กล่าวถึงทางตาที่กำลังมีสีสันวัณณะปรากฏ มืดสนิท และสีสันวัณณะที่ปรากฏตามความเป็นจริงสั้นมาก เล็กน้อยมาก ชั่วขณะจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ใครจะประมาณได้ว่าแค่ไหน รูปที่ปรากฏทางตาดับแล้ว อยู่ในโลกของความมืดแล้ว เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลกของความคิด จากสิ่งที่กระทบ และปรากฏสั้นๆ ซึ่งสว่างนิดเดียว นอกจากนั้นก็มืด เราอยู่ในโลกของความคิดเรื่องเสียงในขณะที่เสียงปรากฏ แต่กำลังเข้าใจความหมายของเสียงขณะนั้นก็มืดสนิทอีก
เพราะฉะนั้นเราอยู่คนเดียว ถ้าจะกล่าวโดยสมมุติ ในโลกที่มืดสนิท จริงไหม ขณะนั้นยังมีการยึดถือธาตุรู้ว่าเป็นเราในความมืดสนิทนั้น เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วขณะนั้นก็เป็นธาตุรู้ที่กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความไม่รู้ก็จะปิดบังหมดเลยไม่ให้รู้ความจริงว่าไม่มีใครเลย แม้เราก็ไม่มี แต่มีธาตุรู้ซึ่งมืดสนิท ซึ่งกำลังเป็นธาตุรู้แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะรู้อะไร ถ้ารู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้โผฏฐัพพะ คิดนึก ก็มืดตลอด นอกจากขณะที่มีแสงสว่างที่ปรากฏทางตาเท่านั้น แล้วเราหลงอยู่ในโลกของชื่อเสียงต่างๆ เรื่องราวต่างๆ จากสิ่งที่เห็นมากมายสักแค่ไหน เพราะว่าเราเห็นตลอดเวลา คิดนึกไปเรื่องสิ่งที่ปรากฏตลอดเวลา แล้วก็ยังได้ยินอีก เรียกว่ายุ่งเหยิงแค่ไหนด้วยความไม่รู้ ที่ท่านอุปมาว่าเหมือนปมด้ายที่เกาะกันแน่นแล้วก็ยุ่งมาก แล้วยังมีแป้งเปียกจุ่มลงไปอีก แล้วก็กว่าจะค่อยๆ รู้ทีละอย่างตามความเป็นจริงก็ต้องมีความอดทน คือฟังให้เข้าใจ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นเลย ไม่ต้องคิดเรื่องปฏิบัติ ไม่ต้องคิดเรื่องสติปัฏฐาน ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรหมด เพราะยังไม่เข้าใจ จะคิดทำไม แต่ว่าฟังแล้วให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จริงหรือไม่จริง ถ้าจริง ก็ติดตามรับฟังต่อไปเพื่อที่จะได้เข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ความไม่รู้ของเรามากมายมหาศาล และขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้นด้วย จะไม่ต่างจากความเป็นจริงเลย จนกว่าสติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไหร่ ด้วยเหตุนี้จึงเห็นประโยชน์ว่าในบรรดาสังขารธรรมทั้งหลาย "มรรค" ประเสริฐสุด การที่จะทำให้สามารถรู้หนทางที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง จนสามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท
ที่มา ...