ปัจจัยทำให้เกิดการรู้ตรงลักษณะ


    ผู้ถาม แล้วในกรณีที่ถ้าเมื่อใดจิตคุณสงบแล้ว ปัญญาจะเกิดก็ไม่จริง

    สุ. หมายความว่าขณะที่สงบคือขณะที่ไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่กุศลจิตก็ไม่ได้หมายความว่ามีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง กุศลที่มีปัญญาก็มี ที่ไม่มีปัญญาก็มี แล้วปัญญาระดับไหน ระดับที่กำลังฟังเข้าใจ ไม่หายไปไหน สะสมสืบต่อปรุงแต่งให้สติสัมปชัญญะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ทำไมเราคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ ทั้งๆ ที่เรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ผ่านไปตั้งหลายวัน และเกิดคิดได้ฉันใด สิ่งที่ปรากฏแล้วก็กำลังศึกษา กำลังค่อยๆ เข้าใจก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดการรู้ตรงลักษณะ ขณะนี้มีสภาพเห็น แต่ไม่ได้รู้ตรงลักษณะเลย เพราะว่าดับแล้วเปลี่ยนเป็นคนแล้ว คิดเป็นคนเป็นสัตว์ไปเลย เพราะนั้นลักษณะจริงๆ ของรูปารมณ์ สิ่งที่กำลังปรากฏแยกออกจากความคิดเรื่องคน เรื่องสัตว์ เรื่องวัตถุใดๆ เพราะเหตุว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่สามารถปรากฏได้แค่นี้ มิฉะนั้นจะเอาความเป็นสัตว์ บุคคลออกไม่ได้เลย มิฉะนั้นจะกล่าวว่าผู้นั้นรู้จักรูปารมณ์ไม่ได้ เพียงฟังเรื่องรูปารมณ์ว่าเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ก็ยังไม่ได้รู้จักจริงๆ ว่าเป็นรูปารมณ์ แล้วต้องเป็นสภาพหรือเป็นธาตุชนิดหนึ่งเท่านั้น

    ผู้ถาม ก็หมายความว่าเพราะไม่มีสติสัมปชัญญะ

    สุ. เพราะฉะนั้นจึงได้เข้าใจว่าขณะไหนหลงลืมสติ ขณะไหนสติสัมปชัญญะเกิด นี่คือขั้นต้นของภาวนาคือการอบรมให้ปัญญาเจริญขึ้นจนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง เพราะทั้งหมดนี่จริง เกิดก็จริง ดับก็จริง แต่ไม่ประจักษ์เพราะอวิชชา ต้องอาศัยการฟังการเข้าใจขึ้น และไม่ต้องไปคิดว่าเราจะทำ เราทำอะไรไม่ได้เลย สภาพธรรมเกิดแล้วทั้งนั้น ที่คิดว่าเราทำก็เพราะเกิดความคิดว่าจะทำ แต่ก็คิดก็ดับโดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วขณะนั้นก็มีปัจจัยที่เกิดคิดอย่างนั้นขึ้นเท่านั้นเอง


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 182


    หมายเลข 10205
    3 ก.ย. 2567