ทั้งหมดที่เคยเป็นเราจะต้องหมด
ผู้ถาม จิตสงบ ปัญญาก็จะเกิด ก็ยังไม่ใช่
สุ. ต้องมีการเข้าใจขั้นปริยัติปฏิบัติ แล้วจึงปฏิเวท จนถึงการเป็นความประจักษ์แจ้งได้ ถ้าปริยัติไม่สามารถนำไปสู่ปฏิปัตติคือสติที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ปริยัตินั้นก็ไม่เป็นปัจจัยเป็นแต่เพียงชื่อหรือเรื่องราวก็อาจจะมีความเห็นผิดว่าต้องทำหรือต้องปฏิบัติ
ผู้ถาม ถ้าอย่างนั้นการปฏิบัติคือการไม่ใช่ไปกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เกิดขึ้น
สุ. ถูกต้อง แต่เป็นการศึกษาเข้าใจสิ่งที่มี สิ่งที่ปรากฏให้เข้าใจยิ่งขึ้นจนประจักษ์แจ้ง ปฏิปัตติคือถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ
ผู้ถาม แล้วการที่ต้องปลีกวิเวก มันมาจากตรงไหน
สุ. ใครปลีกวิเวก
ผู้ถาม เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าก็ยังสอน โน่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง ต้องออกไปสันโดษ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่
สุ. ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้ฟังธรรมรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ปลีกไปไหน หรือว่าฟังเข้าใจ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ สามารถประจักษ์แจ้งดับความสงสัย ดับความไม่รู้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้
ผู้ถาม ก็สรุปความว่าต้องอบรมบ่มต่อ
สุ. แน่นอน
ผู้ถาม เพื่อที่ให้มีกำลังเกิดขึ้นในเรื่องของความเห็นถูก ความรู้ถูก
สุ. ค่ะ
ผู้ถาม ความเข้าใจที่ถูก
สุ. ค่ะ แต่ละชาติเพื่อให้มีความมั่นคงที่จะรู้ว่าไม่มีเรา มีธรรมซึ่งเป็นอนัตตา และสัมมาสติไม่มีการคิดมีเราจะไปทำหรือไปจดจ้อง ขณะนั้นจะไปปิดกั้นการที่จะให้สัมมาสติเกิด และถ้าสัมมาสติไม่เกิดบ่อยๆ จะมีกำลังเป็นพละได้อย่างไร โพธิปักขิยธรรมไม่ไช่มีแต่อินทรีย์ ๕ แต่มีพละ ๕ ด้วย เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่รู้หนทางที่ถูกจริงๆ ก็คือไปปิดกั้นการเจริญของสัมมาสติ ไม่ให้สัมมาสติเกิดในทันที และก็กำลังที่จะทำให้แสดงความเป็นสติซึ่งไม่ใช่เรา เพราะขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่กำลังรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้น ไม่ต้องมีคำว่าสติ ไม่ต้องมีคำว่าระลึก เพราะขณะใดที่สติเกิด สติทำกิจระลึกกำลังรู้ตรงนั้นอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทบทวน ไม่ต้องไปเอ่ยชื่อ ไม่ต้องไปเรียกอะไร แต่อดคิดไม่ได้จนกว่าจะทั่ว แม้คิดก็เป็นเพียงชั่วขณะที่คิดแล้วก็ดับไป ทั้งหมดที่เคยเป็นเราจะต้องหมดจึงจะเป็นพระโสดาบันได้
ที่มา ...