จะฟังธรรมส่วนเดียวไม่ได้ ต้องสอดคล้องกันตั้งแต่ต้นและทั้งหมด


    สุ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญามาก เวลาที่ได้ทรงแสดงพระสูตรก็แสดงโดยย่อ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ พวกนี้ หลังจากที่เห็นแล้ว อาจจะแสดงสำหรับผู้ที่มีปัญญามากว่ามีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย มีวิตก วิจารเจตสิกเกิดร่วมด้วยก็อาจจะแสดงอย่างนั้น แต่สำหรับผู้ที่เพียงแค่ขณะนี้เห็นกับได้ยินแค่จะรู้ว่าต่างกัน แต่ถ้าจะแสดงโดยละเอียดสำหรับผู้ที่แม้ฟังแล้วก็ยังไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ ก็ต้องแสดงให้ละเอียดต่อไปอีกว่าก่อนเห็นจิตกำลังเป็นภวังค์ แล้วก็มีอารมณ์ที่เป็นรูปกระทบปสาท หลังจากนั้นภวังค์ก็ไหว แต่หมายความว่ากำลังใกล้ที่จะสิ้นสุดกระแสภวังค์ ถ้ากระแสภวังค์ไม่สิ้นสุด จิตจะรู้อารมณ์อื่นไม่ได้เลย เพราะว่าตราบใดที่ยังเป็นภวังค์อยู่ ก็ต้องรู้อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิตซึ่งอารมณ์นั้นไม่ได้ปรากฏในโลกนี้เลย เพราะว่าไม่ได้อาศัยตา ไม่ได้อาศัยหู ไม่ได้อาศัยจมูก ไม่ได้อาศัยลิ้น ไม่ได้อาศัยกาย ไม่ได้อาศัยใจ

    ทรงแสดงโดยละเอียดเพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตาว่าใครไปเรียบเรียงบังคับบัญชาให้สภาพธรรมเกิดดับสืบต่ออย่างนี้หรือ หรือว่าเป็นปกติของสภาพธรรมที่จะเกิดดับสืบต่อกันอย่างนี้ จนกระทั่งถึงขณะเห็น ก่อนเห็นก็จะต้องมีปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นกิริยาจิตแสดงโดยชาติให้เห็นความต่างกันของขณะที่เป็นภวังค์ เป็นชาติหนึ่ง เป็นผลของกรรม แต่พอถึงปัญจทวาราวัชชนจิตไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นกิริยาจิตซึ่งเกิดเพราะปัจจัยที่ทำให้จิตนี้เกิดขึ้นทำกิจแล้วดับไป จักขุวิญญาณจึงเกิดเห็น หลังจากที่จักขุวิญญาณซึ่งเป็นผลของกรรมดับไปแล้ว กรรมก็ยังทำให้สัมปฏิจฉันนะรับรู้สิ่งที่จิตเห็นรู้ต่อเป็นวิบากเหมือนกัน นี่ไม่ได้แสดงโดยนัยของพระสูตร แต่เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตากว่าจะถึงเมื่อรูปนั้นดับ จิตเกิดดับมีรูปนั้นเป็นอารมณ์ เมื่อรูปนั้นดับแล้วต้องเป็นภวังค์เกิดสืบต่อ ไม่ใช่จุติจิต เพราะยังคงความเป็นบุคคลนี้ หลายขณะจนกว่าจะถึงมโนทวาร ยังไม่ได้ยิน รับรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต่อหลายวาระแล้วก็ถึงจะมีขณะอื่นต่อไป แต่นี่แสดงให้เห็นว่าเราไม่รู้พวกนี้เลย ก็แสดงเพียงแค่จิตเห็นกับจิตได้ยินที่ต่างกันพอที่จะรู้ได้ แต่จะไม่รู้ปัญจทวาราวัชชนะ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ ชวนะ

    ผู้ถาม แต่จากการฟังก็ทราบเป็นเรื่องเป็นราว

    สุ. ถูกต้อง

    ผู้ถาม ขณะที่ได้ยิน ขณะที่คิดนึกเป็นคนละขณะกัน ก็เลยคิดว่านี่เป็นลักษณะของโมหะที่ปิดบัง เป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็ยังคิดว่าเป็นลักษณะที่เราเข้าใจ

    สุ. การศึกษาโดยละเอียดต้องทราบว่าเจตสิกใดเกิดกับจิตใด เราคิดเองไม่ได้ อกุศลเจตสิกจะเกิดกับกุศลจิตไม่ได้ ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าดับ เชื้อคืออนุสัยกิเลสจนกว่าจะถึงความเป็นพระอริยบุคคลเมื่อไหร่จึงจะดับอนุสัยกิเลสซึ่งจะทำให้เกิดกิเลสต่างๆ เมื่อมีการรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฟังธรรมนี่จะฟังส่วนเดียวไม่ได้ ต้องสอดคล้องกันตั้งแต่ต้น และสอดคล้องกันทั้งหมดที่จะทำให้เข้าใจจริงๆ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 184


    หมายเลข 10222
    3 ก.ย. 2567