เพียงเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ
ผู้ถาม ระหว่างที่เป็นตัวตนที่จะระลึกถึงอะไรอย่างนั้น ก็พอที่จะพิจารณาตรงนั้นได้ แต่การมีตัวตนนี่คิดว่ามีตลอด
สุ. ตราบใดที่กิเลสยังไม่ได้ดับ โลภะเกิด และดับไปก็จริงแต่สะสมอยู่ในจิตขณะต่อไปเป็นอนุสัยกิเลสเพราะเหตุว่ายังไม่ได้ดับ เพราะฉะนั้นการสะสมของสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อของแต่ละขณะก็จะเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมประเภทนั้นเกิดได้ สะสมศรัทธา สะสมโลภะ สะสมความเห็นผิด สะสมอะไรก็ตามแต่ก็สะสมอยู่ในจิต ๑ ขณะ ลองคิดดูว่าจิตไม่ใช่รูปเลย รูปนี่ก็ใช่ว่ายืนยาวเลย แค่ ๑๗ ขณะแล้วดับ สภาพธรรมจริงๆ หาสาระไม่ได้เลย ไม่ได้มากนักหนาอย่างที่คิดเลย ชั่วขณะที่บางเบาสักแค่ไหน เพียงเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ แต่ว่าต่างกันเป็นนามธรรม และรูปธรรม
เพราะฉะนั้นเวลาที่สภาพธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยดับไปแล้วสะสมสืบต่อทั้งฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดี ถ้าเป็นฝ่ายทั้งกุศล และอกุศลใช้คำว่า “อาสยะ” แต่ถ้าทางฝ่ายอกุศลเท่านั้นใช้คำว่า“อนุสย” หรือ “ อนุสัย” เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าเรานอนหลับไม่มีกิเลสใดๆ เกิดในขณะที่หลับสนิท พอตื่นขึ้นมาแล้ว ถ้าจิตไม่มีเหตุใดๆ ที่สะสมมา อกุศลที่จะเกิดมาเกิดมาได้ยังไง เพราะฉะนั้นให้คิดถึงรูปธรรมก็แสนจะบอบบางแค่ ๑๗ ขณะดับ นามธรรมเร็วยิ่งกว่านั้น และไม่มีรูปใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ใช้คำว่า “ธาตุ” เกิดเมื่อมีปัจจัย แต่ว่าธาตุนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วรู้ และรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วดับ แต่ก็เป็นปัจจัยให้จิต และเจตสิกขณะต่อไปเกิด สิ่งใดที่มีในจิตขณะนั้นสะสมสืบต่อมาไม่ว่าจะเป็นกุศล อกุศลมากมายสักเท่าไหร่ในสังสารวัฏที่ผ่านมาไม่ได้หายไปไหนก็สืบต่ออยู่ในจิตแต่ละขณะ พร้อมด้วยเหตุปัจจัยที่สภาพธรรมใดจะเกิดก็มีปัจจัยที่จิตนั้นสะสมมา เพราะเป็นอาสยานุสยะ ทำให้ฝ่ายดีเกิดบ้าง หรือว่าฝ่ายไม่ดีเกิดบ้าง แต่ให้ทราบถึงธาตุที่น่าอัศจรรย์ ไม่มีรูปร่างเลย เป็นธาตุรู้ เมื่อเกิดขึ้นรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เคยมีนามธาตุอีกชนิดหนึ่งเกิดร่วมกันคือเจตสิก ทั้งสองอย่างเข้ากันสนิทเลยเพราะไม่ใช่รูปที่จะต้องเอาไปผสมกันอย่างน้ำกับน้ำมัน แต่นี่เป็นนามธาตุซึ่งอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ต่างก็เกิดขึ้นทำกิจเฉพาะของตนๆ จิตทำหน้าที่ของจิต เจตสิกทำหน้าที่ของเจตสิก แล้วทั้งจิต และเจตสิกก็ดับเป็นปัจจัยให้จิต และเจตสิกในขณะต่อไปเกิด
เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึงอนุสัยก็คืออกุศลที่ยังไม่ได้ดับ แล้วถ้าอาสยะก็คือทั้งกุศล และอกุศลแต่ละขณะที่เกิดไม่ได้สูญหายไปเลย นี่เป็นเหตุที่ทำให้แต่ละคนมีอัธยาศัยต่างกัน นอกจากนั้นแม้คนเดียวก็ยังมีกาลที่กุศลจิตเกิด อกุศลจิตเกิด แล้วก็สะสมต่อไปอีก เพราะฉะนั้นถ้าสะสมโทสะไว้มากๆ ก็เป็นคนที่ขี้โกรธ หรือว่าไม่เห็นโทษของโทสะ และก็จะเป็นเหตุให้ทำอกุศลกรรมที่ทำด้วยอำนาจของโทสะได้ ทางฝ่ายกุศลก็เหมือนกัน นี่ไม่ใช่เรา นี่คือธาตุ นี่ไม่ใช่เรา นี่คือธรรม เพราะฉะนั้นกำลังนอนหลับสนิทเห็นผิดหรือเปล่า ทิฏฐิเจตสิกไม่ได้เกิดขึ้นทำกิจการงาน แต่สะสมมีแล้ว แล้วแต่ว่าใครสะสมทิฏฐิระดับไหน พร้อมที่ว่าขณะใดที่โลภะเกิด ทิฏฐิความเห็นผิดก็เห็นผิดตามโลภะที่ติดข้องในความเห็นนั้นๆ แต่ว่าโลภะก็ดับไปแล้ว ภวังคจิตก็คั่น มีทุกสิ่งทุกอย่างที่สะสมไว้ พอโทสะมีปัจจัยเกิด โทสะก็เกิด แต่ทิฏฐิเจตสิกจะเกิดร่วมกับโทสมูลจิตไม่ได้
เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวว่ามีโทสะตลอดเวลาหมายความถึงมีในฐานะที่เป็นอนุสัย ยังไม่ได้เกิดขึ้นทำกิจการงานเป็นอกุศลเจตสิกหรือว่าอกุศลจิตประเภทใดเลยทั้งสิ้น แต่มี เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญาไม่ได้ดับอกุศลจิตแต่ดับอนุสัยกิเลส คิดถึงไหม การดับหมายถึงพืชเชื้อที่สะสมมา ซึ่งถ้าไม่ถึงปัญญาระดับที่สามารถจะดับได้โดยการที่เพียงสงบเจริญสมถภาวนาอย่างถูกต้อง จิตสงบจนกระทั่งเป็นอรูปฌาณกุศลเกิดแล้วในอรูปพรหมภูมิเป็นอรูปพรหมบุคคลก็ยังมีอนุสัยกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ หนทางเดียวที่จะดับได้ก็คือการอบรมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่หนทางอื่น ตราบใดที่ไม่ใช่หนทางนี้อนุสัยกิเลสก็ยังคงมีเพราะจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะแล้วก็ดับไปเป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปสืบต่อ ด้วยเหตุนี้จิตของแต่ละคนก็แต่ละการสะสม จะไปแลกกันไม่ได้เลย จะไปเอาของคนอื่นมาสะสมก็ไม่ได้ ต้องเป็นของตนเอง และก็สามารถที่จะเจริญปัญญาได้เพื่อจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมจนถึงการดับอนุสัยกิเลส
ที่มา ...