รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่าเราเป็นใคร
ผู้ถาม อย่างจิตที่เป็นกุศลเกิดก็เกิดแว็บเดียว
สุ. ทุกประเภทเหมือนกัน
ผู้ถาม แต่ว่าโดยสภาพที่เราศึกษามา เจตสิกที่เกิดร่วมกับกุศลจิตมีหลายชนิด แล้วทีนี้พอเราระลึกกุศลจิตเกิด เราก็มักจะไปคิดนึกถึงเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยในลักษณะสภาพธรรมจริงๆ ที่เกิด มันคือแว็บเดียว
สุ. ทุกอย่างเกิดดับเร็วมาก
ผู้ถาม แต่ก็ต้องศึกษา
สุ. รู้สิ่งที่ปรากฏ
ผู้ถาม ที่ท่านอาจารย์แสดงมา บางครั้งก็เอาสภาพธรรมมาเทียบเคียงตรงนี้มันคืออย่างนี้หรือเปล่า เพื่อที่จะให้เข้าใจมากขึ้น คือสมมุติว่าไม่เคยเห็นความสำคัญว่าโลภมูลจิตเกิดกับเจตสิกอะไรบ้าง ทีนี้พอเวลาคุยกันก็จะมารวมกันหมดว่าระหว่าง ที่โทสเจตสิกเกิดก็ต้องมีทิฏฐิเจตสิกเกิดขึ้นด้วย ก็คุยกันก็บอกว่าไม่ใช่ ก็จริงๆ แล้วจากการศึกษาจะต้องไม่มีลักษณะแบบนี้
สุ. โลภะมีกี่ประเภท ศึกษาแล้วก็ต้องทราบว่าโลภะมีกี่ประเภท
ผู้ถาม มี ๘
สุ. ต่างกันยังไงใน ๘
ผู้ถาม มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย กับไม่มี และมีมานะเกิดร่วมด้วย
สุ. มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วยก็มี ไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วยก็มี ก็เข้าใจกันอยู่แล้ว ขณะที่ไม่มีทิฏฐิก็มี ขณะที่ไมีทิฏฐิก็มี แล้วยังไง แล้วทำไมต้องนั่นต้องนี่ โลภะที่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วยก็มี โลภะที่ไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วยก็มี
ผู้ถาม เวลาที่เกิดความสงสัยในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เราเทียบเคียงไม่ได้
สุ. ก่อนที่จะได้ฟังธรรม คนที่เขาเห็นผิดมีไหม
ผู้ถาม มี
สุ. แล้วคนที่ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยมีไหม
ผู้ถาม มี
สุ. ก็เหมือนเดิม เพียงแต่เราเรียกชื่อถูกเท่านั้นเองว่าขณะนั้นเป็นโลภะ ขณะที่เห็นผิดเป็นทิฏฐิ เรียกชื่อถูก แต่ความจริงก็คือแม้จะไม่ได้ฟังธรรม เวลาที่โลภะเกิดไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วยก็มี แล้วมีทิฏฐิเกิดร่วมด้วยก็มี ก็ธรรมดา ฟังละเอียดก็เพื่อที่จะให้เห็นว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถที่จะแสดงได้ เพราะเขาไม่ตรัสรู้ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เห็นพระปัญญาคุณ ให้รู้ว่าแม้ความจริงเป็นอย่างนี้ ปัญญาของเราเองสามารถจะรู้ได้แค่ไหน แม้แต่ในขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ ฟังเรื่องจิต ๘๙ ฟังเรื่องเจตสิก ๕๒ ฟังเรื่องรูป ฟังเรื่องธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แค่นี้ แค่ว่าเป็นธรรมกับอนัตตา เรารู้แค่ไหน แต่ที่ฟังทั้งหมดยิ่งฟังยิ่งเห็นความเป็นอนัตตาโดยรู้ว่านั่นคือปัญญาของผู้ที่ทรงตรัสรู้ทรงแสดง และปัญญาของเรารู้ได้แค่ไหน อย่างทรงแสดงเรื่องผัสสเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท เพราะว่าผัสสเจตสิกมีหน้าที่กระทบอารมณ์ ผัสสเจตสิกกระทบอารมณ์ใด จิตรู้อารมณ์นั้น
เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นขณะนี้จากการฟังรู้ว่ามีผัสสเจตสิกซึ่งกำลังกระทบสิ่งซึ่งจิตกำลังรู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เราไปรู้อย่างนั้นว่าขณะนั้นมีผัสสเจตสิกขณะนั้นจริงๆ เพราะเหตุว่าปัญญาของเราถึงระดับนั้นหรือเปล่าปัญญาของเราระดับการฟังก็ถึงความสามารถที่จะให้เรารู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่าเราเป็นใคร กำลังศึกษาอะไร และแม้แต่คำที่ทรงแสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม เรารู้ลักษณะของทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรมหรือยัง หรือเพียงแต่จำไว้เท่านั้นเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เราเพราะเป็นธรรม แต่ลักษณะของธรรมจริงๆ ไม่ได้ปรากฏเพราะว่าถ้าเป็นลักษณะจริงๆ ธรรมนั้นเป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม แม้นามธรรม ธรรมนั้นเป็นนามธรรมอะไร แม้รูปธรรม รูปธรรมนั้นเป็นรูปอะไร
ที่มา ...