ถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นเพียงรูปารมณ์ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ได้


    อย่างข้อความในพระไตรปิฎกก็จะกล่าวถึงข้อความตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ตา (จักขุวิญญาณ ภาษาบาลี) ภาษาไทยคือเห็น เป็นจิตที่รู้โดยอาศัยจักขุ รูปารมณ์ แค่รูปารมณ์คำเดียว เราฟังแค่เป็นคำกล่าวที่ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเหมือนเข้าใจแล้ว แต่ว่าท่านไม่ได้กล่าวว่าคน ว่าสัตว์ ว่าโต๊ะ ว่าเก้าอี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้เห็นอะไร ถ้าไม่ละเอียดก็ไม่คิดแล้วใช่ไหม แล้วเราก็ตอบว่าเราเห็นรูปารมณ์ แต่ลักษณะที่เป็นรูปารมณ์เฉพาะรูปารมณ์เท่านั้นปรากฏหรือยังว่าเป็นเฉพาะรูปารมณ์ แล้วหลังจากนั้นก็คือคิดแล้วถึงได้จำได้ว่าคนนี้ชื่อนั้น รูปร่างอย่างนี้เป็นโต๊ะ รูปร่างอย่างนั้นเป็นถ้วยแก้ว จากความทรงจำ จากเห็น แต่ต้องหลังจากเห็น เพราะว่าจิตเกิดขึ้นจะทำกิจของตนเองอย่างเดียวไม่ก้าวก่ายกันเลย จิตเห็นคิดไม่ได้เลย จิตเห็นๆ เท่านั้น และจิตต่อไปก็รับต่อจนกระทั่งถึงทางใจ และก็จะมีสัญญาความจำ และรู้ว่าขณะนี้เป็นคน

    แต่ขณะที่กำลังเห็นคนต้องแยกว่าเห็น สิ่งที่ถูกเห็นเป็นรูปารมณ์คือธาตุที่สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏๆ อย่างนี้ไม่ปรากฏเป็นอย่างอื่นเลย ในฝันไม่มีรูปารมณ์ปรากฏ แต่มีเรื่องเพราะว่าคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง เพราะว่าเห็นคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง แต่รูปารมณ์นี่ไม่ได้ปรากฏในฝันเลย เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีรูปารมณ์แล้ว มีความคิดจากรูปารมณ์ที่ปรากฏเป็นคนต่างๆ และก็จำมั่นคงแม่นยำเลยว่าเห็นรูปร่างสัณฐานอย่างนั้นชื่ออย่างนั้น เพราะฉะนั้นเวลาฝันก็ฝันจากความจำ สิ่งที่คิดนึกในรูปารมณ์ที่ปรากฏ แต่รูปารมณ์ไม่ได้ปรากฏ

    นี่คือการฟังธรรมให้เข้าใจว่าเป็นธรรม ให้รู้ว่าเป็นธรรม แล้วรู้ปัญญาของเราเองด้วยว่าเราสามารถที่จะรู้ได้แค่ไหนแต่ถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นเพียงรูปารมณ์ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ได้ นี่คือการที่เราจะต้องรู้ว่าเราสะสมความไม่รู้มากมายแค่ไหน และความรู้จะค่อยๆ เกิดขึ้นเป็นไปได้อย่างไร ต้องอาศัยสุตตมยปัญญาๆ ที่สำเร็จจากการฟัง ไม่ใช่ฟังแล้วไม่รู้ ก็คือได้ยินเท่านั้นเอง แต่ว่าไม่รู้เลยว่าฟังอะไร แต่ขณะนี้กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นอะไร เพราะว่าทางที่สิ่งเหล่านี้จะปรากฏได้ก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะกี่โลกก็ตามแต่ กี่จักรวาลก็ตามแต่ จะไม่รู้อื่นเลยนอกจากสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏในขณะนี้โดยอาศัยตา หรือหู หรือลิ้น หรือจมูก หรือกาย หรือใจ ค่อยๆ เข้าใจ มิเช่นนั้นพระผู้มีพระภาคทรงไม่บำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากที่ได้ทรงรับคำพยากรณ์แล้ว ๔ อสงไขยแสนกัปป์

    พอพูดอย่างนี้คำถามมาเลย กัปป์นี่เท่าไหร่อสงไขยเท่าไหร่ ๔ เท่าไหร่ เอาเลข ๔ ตัวเข้าไปแล้วคูณยังไง ก็เป็นเรื่องที่ฟังอะไร ฟังให้เข้าใจเท่านั้นเองว่าระยะเวลาที่ยาวนาน แล้วใครจะบอกว่าแสนกัปป์หรือ ๔ อสงไขยแสนกัปป์ก็แล้วแต่ ก็ยาว และความยาวนานนี่ก็ต่างกัน แต่จะให้มานั่งคิดทั้งวันว่าอสงไขยแสนกัปป์นี่เท่าไหร่ก็แล้วแต่อัธยาศัย แต่ว่าไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะว่าขณะนั้นไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 185


    หมายเลข 10259
    3 ก.ย. 2567