ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ต้องอาศัยปัจจัย
อ.วิชัย ก็มีหลายสูตรที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสเรื่องของอาหาร เรื่องของอวิชชา อย่างเช่นทรงตรัสว่านิวรณ์ ๕ เป็นอาหารของอวิชชา และก็ทรงกล่าวว่าทุจริต ๓ ก็เป็นอาหารของนิวรณ์ และการไม่สำรวมอินทริย์ก็เป็นอาหารของทุจริต ๓ และก็การไม่มีสติสัมปชัญญะก็เป็นอาหารของการไม่สำรวมอินทรีย์ การไม่กระทำไว้ในใจโดยแยบคายก็เป็นอาหารของการไม่มีสติสัมปชัญญะ และการไม่มีศรัทธาก็เป็นอาหารของการไม่กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย การไม่ฟังธรรมก็เป็นอาหารของการไม่มีศรัทธา การไม่คบสัตบุรุษก็เป็นอาหารของการไม่ฟังธรรม การแสดงเรื่องของอาหาร ทรงมีปัจจัยอย่างไร
สุ. เป็นการแสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ต้องอาศัยปัจจัย เหมือนกับอาหารนำมาซึ่งผล เมื่อมีอาหารแล้วก็ทำให้เกิดผล การเจริญเติบโตของร่างกาย เฉพาะรูป แต่ว่าจริงๆ แล้วก็คือว่า สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ยากแสนยากที่ใครจะรู้ทั่วถึงอาหารที่คุณวิชัยเพิ่งกล่าวถึงเมื่อกี้นี้ เพราะเหตุว่าจะต้องเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมะแต่ละอย่าง แล้วก็ยังรู้ถึงปัจจัยซึ่งเป็นอาหารที่จะทำให้สิ่งนั้นๆ เกิด และก็เจริญเติบโตขึ้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันตั้งแต่ขณะหนึ่งที่เกิดจนถึงขณะต่อๆ ไปด้วย ไม่ใช่หมายความว่าขณะนี้เดี๋ยวนี้เกิดเพราะจิตที่เกิดแล้วก็ดับไปขณะก่อนเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อจิตขณะนี้เกิดขึ้นเพราะจิตขณะก่อนดับไป แต่อะไรปรุงแต่งนำมาซึ่งจิตขณะนี้ที่จะเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เหตุนั่นก็เนิ่นนานมาไม่ขาดไปเลย ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะที่เกิดเท่านั้น แต่ต้องอาศัยปัจจัยสะสมสืบต่อปรุงแต่งอย่างมาก ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้การปรุงแต่งของธรรมะได้ ว่าแม้ในขณะที่ฟังจะปรุงแต่งต่อไปอีกอย่างไรทั้งทางฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศล
อ.อรรณพ อย่างที่ท่านแสดงตรงนี้ก็คือแสดงให้เห็นว่าทุกอย่างต้องมีปัจจัย แต่สมมุติว่าเราฟังตรงนี้แล้วเราเข้าใจไม่ถูก เหมือนกับต้องทำๆ ให้มีสุจริตก่อนจึงจะมีสภาพธรรมะที่เป็นกุศลธรรมขั้นต่อๆ ไปเป็นต้น
สุ. ทรงแสดงเหตุผล ไม่ใช่บังคับหรือว่าให้ใครทำเลย ในอดีตใครไม่เคยมีสุจริตบ้าง หรือใครไม่เคยมีทุจริตบ้าง ก็มี ก็แสดงตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่มีแล้วนั่นแหละก็เป็นปัจจัยสะสม ที่จะปรุงแต่งให้แต่ ละขณะที่จะเกิดต่อไปเป็นอย่างไร ถ้าฟังธรรมต้องเข้าใจ เพื่อเข้าใจความเป็นจริงว่า ทุกขณะ ใครทำ ให้เกิดได้ มีอะไรที่จะไปแทรกการเกิดดับสืบต่อของจิตซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็ว จะมีตัวตนขณะไหนไปทำอะไร เพราะว่าจิตเกิด แล้วก็ดับไปเร็วมาก เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น จะมีตัวเราไปทำไปแทรกเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากความคิด ความเข้าใจผิดว่ามีเราหรือมีตัวตน ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่าทุกขณะนี้เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ควรที่จะได้เข้าใจตามความเป็นจริง เพื่อที่จะละคลายการที่เคยยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเราหรือเป็นตัวตน แล้วก็คิดว่าตัวตนทำด้วย ตัวตนทำ ความจริงคืออะไร เราทำ แล้วความจริงคืออะไร ก็คือธรรมะ ไม่พ้นจากธรรมะเลย ก็คือจิต เจตสิกนั่นแหละ แล้วแต่ว่าจะเป็นจิต เจตสิกประเภทใด
ที่มา ...