รูปพรหมภูมิและอรูปพรหมภูมิ
อ.อรรณพ อวิชชาจึงเป็นรากเหง้าของวัฏฏะที่ท่านแสดงปฏิจสมุปบาท อวิชชาก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งทำกุศล การที่จะเจริญกุศลด้วยกุศลเจตนาที่จะทำให้ได้สุขวิบากที่ดีที่จะได้เกิดในภพภูมิต่างๆ ก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้อยู่ในวัฏฏะนี้ได้อย่างมีความสุข เกิดเป็นมนุษย์ที่สุขสบาย เกิดเป็นเทวดาก็ประณีตกว่านั้น เกิดเป็นพรหมก็ยิ่งประณีตกว่า แต่ก็ยังออกจากวัฏฏะไม่ได้ กุศลอย่างนั้นก็ยังมีอวิชชาเป็นปัจจัย
สุ. ก่อนอื่น พรหมเป็นใคร เป็นมนุษย์หรือเปล่า
ผู้ฟัง ตามความเข้าใจของดิฉัน พรหมคงไม่ใช่มนุษย์
สุ. เพราะว่าภาษาบาลี “พรหม” หมายถึงผู้ประเสริฐ แต่ผู้ประเสริฐก็ต้องมีลำดับขั้นด้วย ผู้ประเสริฐสุดก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าพูดถึงบุคคลในโลกนี้เป็นมนุษย์ และก็ผู้ที่เกิดในสวรรค์ชั้นกามาวจรภูมิ สวรรค์ ๖ ชั้นนั้นก็ไม่ใช่พรหม เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าผลของกุศลกรรมก็ทำให้เกิดในภพภูมิที่ดีตามสมควรกับความดีหรือว่ากุศลนั้นๆ เพราะฉะนั้นถ้าใครก็ตามยังคงเป็นผู้ที่ติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะแม้ทำกุศลก็ยังคงเป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ผู้นั้นจะไม่ถึงความสงบของจิตจาก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะว่าขณะที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นแสดงว่าไม่ใช่ความติดข้องไม่ใช่โลภมูลจิต แต่เป็นกุศลจิตที่สามารถสละหรือว่าสามารถที่จะชั่วขณะนั้นไม่เป็นไปกับรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้นผลของกุศลทั้งหมดก็จะทำให้เกิดในสุคติภูมิ ขั้นต่ำก็คือเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์นี่ก็หลากหลายตามกรรมที่ได้สะสมมาที่ประมวลมาที่จะให้เป็นบุคคลนั้นในชาตินั้น จะมีรูปร่างผิวพรรณฐานะความเป็นอยู่หรือว่าจิตใจระดับไหนก็ตามแต่ ตามการสะสม แต่ก็ยังคงเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์เมื่อทำกุศลๆ นั้นให้ผลประณีตกว่าก็จะทำให้เกิดเป็นเทวดาหรือว่าเทพธิดาก็แล้วแต่เรียกชื่อไป เกิดในสวรรค์ชั้นที่เป็นกามาวจรภูมิ ๖ ชั้นที่เราได้ยินบ่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่พรหม เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเป็นพรหมได้ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไร ไม่มีปัญญาแล้วก็นั่งสมาธิ แล้วก็จะไปเกิดเป็นพรหม ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เป็นเรื่องของกุศลที่สูงกว่าขั้นทาน ขั้น
ศีล เพราะเหตุว่าต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศลจิต ที่เกิดเสมอเป็นประจำทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ถ้าในขณะใดที่กุศลไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศล แม้ในขณะที่กำลังเห็น ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงก็จะไม่รู้ว่าเห็นดับไปแล้ว กุศลจิตหรืออกุศลจิตจะเกิดแล้วแต่การสะสมบุคคลในครั้งก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ในโลกนี้ ในชมพูทวีปนี้ที่มีปัญญาสามารถที่จะเห็นโทษว่าขณะใดก็ตามที่เห็นหรือได้ยิน ไม่มีการที่จะไม่ให้อกุศลจิตเกิด ด้วยเหตุนี้จึงมีปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูกต้องว่าขณะใดที่จิตตรึกหรือน้อมนึกถึงอะไรแล้วจิตเป็นกุศล ท่านเหล่านั้นก็จะน้อมให้จิตเหล่านั้นเป็นกุศล เพราะเข้าใจลักษณะที่ต่างกันของกุศลจิต และอกุศลจิตจนกระทั่งกุศลของท่านเกิด สงบขึ้นๆ ถึงขั้นอัปนาสมาธิซึ่ง
เราใช้คำฌาณจิตถ้าศึกษาโดยละเอียดคำว่า “ฌาณ” ก็มีความหมายอื่นด้วย แต่เฉพาะที่เป็นกุศลฌาณก็มีเป็นลำดับขั้นทั้งรูปฌาณ และอรูปฌาณ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นกุศลที่ยังมีรูปเป็นอารมณ์ และบุคคลนั้นสามารถที่จะมีปัจจัยให้ฌาณกุศลจิตเกิดก่อนจุติจะเป็นปัจจัยให้เกิดในรูปพรหมภูมิเป็นรูปพรหมบุคคล แต่ถ้าเป็นกุศลที่ประณีตกว่านั้นเพราะเห็นโทษว่าแม้รูปที่เป็นฌาณกุศลก็ยังใกล้ต่อกามคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่ประณีตเท่ากับฌาณจิตซึ่งไม่มีรูปเป็นอารมณ์ ท่านเหล่านั้นสามารถมีปัญญาที่จะละการที่จิตสงบเพราะรูปเป็นสามารถที่จะสงบเพราะอรูปคือไม่ใช่รูปเป็นอารมณ์ เวลาที่ก่อนจุติมีปัจจัยที่อรูปาวจรกุศลจิตจะเกิด เมื่อจุติจิตดับไปแล้ว กุศลนั้นก็ทำให้ปฏิสนธิเป็นอรูปพรหมภูมิ ไม่มีจิต เจตสิก ไม่มีนามธรรมเลย แต่มีอวิชชา เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังไม่ได้ดับการไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ถึงจะเกิดที่ไหนก็ตามก็ไม่รู้
ผู้ถาม อวิชชาของอรูปพรหมภูมิคืออะไร
สุ. ไม่รู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ผู้ถาม อรูปพรหมภูมิมีรูปลักษณะอย่างไร
สุ. ไม่มีรูปเลย ถ้าสามารถจะเข้าใจลักษณะของจิต หมดความสงสัยในอรูปพรหมภูมิ เพราะฉะนั้นจากการศึกษา ถ้าใครคิดว่าพรหมอยู่ใกล้ๆ เหมือนกับเทวดาชั้นหนึ่งชั้นใดก็ไม่ถูกต้อง เพราะว่าผู้นั้นต้องมีความสงบที่สามารถที่จะถึงขั้นอัปนาสมาธิตามลำดับขั้น และก็บางภพภูมิอย่างอสัญญสัตตาพรหมก็เป็นผลของความสงบขั้นปัญจมฌาณ แต่ว่าเห็นโทษของการที่จะมีนามธรรม เพราะฉะนั้นเวลาที่จุติแล้วก็มีปฏิสนธิเป็นรูปพรหมบุคคล ไม่มีจิตเจตสิก เลย ชั่วขณะที่เป็นรูปพรหมบุคคลชั้นอสัญญสัตตาพรหม หลังจากนั้นแล้วก็มีปัจจัยที่จะทำให้จิต เจตสิกเกิด และก็ยังไม่ได้ดับกิเลสก็ต้องเกิด ก็เกิดได้ทั้งนั้น แล้วแต่ว่าจะเกิดในภพภูมิไหน ก็เป็นเรื่องของภพภูมิซึ่งเราก็มองไม่เห็นก็จริง แต่ผู้ที่ท่านทรงแสดงเป็นผู้ที่ท่านรู้เหตุ และผลของกรรมต่างๆ ที่สามารถจะให้ผลได้ในระดับไหน
ที่มา ...