ความทุกข์จะลดลงได้เมื่อมีปัญญา


    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาย้ำเตือนถึงความที่ว่าให้มีความมั่นคงในการศึกษาธรรม ถึงแม้ว่าจะมีทุกข์ทางใจในชีวิตประจำวันจะเกื้อกูลอย่างไรที่จะให้ปัญญาเจริญขึ้น และค่อยๆ เห็นโทษของสภาพธรรมที่เป็นทุกข์

    สุ. ไม่มีใครที่จะไม่มีทุกข์ เวลาที่ใครประสบทุกข์ คนนั้นเป็นทุกข์ยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้ประสบ ถ้าเราได้ยินเรื่องราวของญาติพี่น้องเพื่อนฝูง เขากำลังได้รับความทุกข์จากภัยพิบัติต่างๆ ความรู้สึกของเราเทียบไม่ได้เลยกับผู้ที่กำลังเป็นทุกข์จริงๆ ในขณะนั้น ยังไงๆ ก็ไม่มีทางเลย จะเห็นใจ จะเข้าใจสักเท่าไหร่ ก็ยังไม่เท่ากับโทมนัสเวทนาของบุคคลที่กำลังเป็นผู้ได้รับภัยพิบัตินั้นซึ่งไม่มีใครช่วยได้นอกจากตัวเอง ที่จะให้จิตใจของใครมีความมั่นคงในพระธรรมที่มีความเข้าใจถูกต้องว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และถ้าไม่มีเหตุปัจจัย สิ่งนั้นก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งใดเกิดขึ้น ผู้มีปัญญาก็รู้ว่าเกิดแล้ว เมื่อเกิดแล้วจะทุกข์หรือจะสุข ถ้ามีสติจึงสามารถที่จะระลึกได้ แต่ก็ก่อนอื่นก็มีความทุกข์เสียแล้ว เพราะฉะนั้นความทุกข์ของแต่ละคนจะมากหรือจะนานสักเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาว่ามีปัญญาพอที่จะเกิดขึ้น และก็สามารถที่จะเข้าใจในความจริงของสภาพธรรมนั้นระดับไหน ถ้าเพียงแต่เข้าใจเรื่องราว ก็ยังคงมีคงมีความทุกข์อยู่ แต่ก็ยังน้อยกว่าที่ไม่มีความเข้าใจเสียเลย เพราะว่าบางคนพูดไปๆ ๆ เรื่อยๆ ในเรื่องความทุกข์ แม้ว่าจะเตือนจะกล่าวธรรมสักเท่าไหร่ ก็ไม่ได้มีการรับฟังเลย ยังคงพูดถึงความทุกข์นั้นโดยที่ไม่ฟังอย่างอื่นเลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าแม้ว่าจะได้ยิน ได้ฟังธรรม แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้นมีปัจจัยของอะไรจะเกิดขึ้น มีปัจจัยของกุศลจิตจะเกิดหรือว่ามีปัจจัยของอกุศลจิตจะเกิด แต่ถึงอย่างไรการฟังพระธรรมที่สะสมไปเรื่อยๆ ไม่สูญหาย ยังเป็นปัจจัยให้เกิดคิดในทางที่ถูกต้อง ในทางที่เป็นกุศลได้ซึ่งคนอื่นคิดไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้สะสมมาที่จะมีความเข้าใจในเหตุผล แม้ว่าจะหลงลืมสติเป็นทุกข์ไปมาก และนาน ก็ยังมีโอกาสที่สติสัมปชัญญะจะเกิดได้ หรือว่าจะระลึกรู้ข้อความในธรรมที่ได้ยินได้ฟังมาทั้งหมด จริงๆ แล้วทุกคนเกิดมาเพื่อตายหรือเปล่า แต่ก่อนจะตายทำทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดว่ามีความสุขเหลือเกิน สนุกเหลือเกิน แต่ชั่วขณะจริงๆ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้เข้าถึงพระธรรมที่ว่าสภาพธรรมใดเกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นดับไป ไม่เหลืออะไรเลย ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ ความติดข้องจะคลายลงไปบ้าง แม้ในขั้นของการฟัง ถ้ายิ่งเป็นการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมนั้นจริงๆ ก็จะรู้ได้เลยว่าการที่จะถึงความเป็นผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และเมื่อนั้น ความทุกข์ยังไม่หมด แต่ก็ลดลงตามลำดับคือเป็นพระโสดาบัน ไม่มีความทุกข์ที่จะต้องไปสู่อบายภูมิอีกเลย และเมื่อเป็นผู้ที่ค่อยๆ คลายความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งระหว่างที่ติดข้องอยู่คิดว่าเป็นสุข เพราะเหตุว่าปัญญายังไม่ถึงระดับที่จะเห็นความจริงว่าแม้สิ่งซึ่งคิดว่างาม สิ่งนั้นก็ไม่เที่ยง ต้องอาศัยการประจักษ์แจ้งจริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น จึงสามารถที่จะละคลายอกุศลที่ได้สะสมมานานมากตามลำดับ เพราะฉะนั้นไม่มียาวิเศษเม็ดเดียว ข้อความธรรมอันเดียวที่จะทำให้คนที่กำลังมีทุกข์คลายทุกข์ได้ แต่ต้องอาศัยความเข้าใจธรรมที่ได้สะสมมาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคงว่าทั้งหมดเป็นสภาพธรรมที่เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่ใครด้วย และยับยั้งเหตุที่ได้กระทำแล้วที่จะไม่ให้ผลเป็นไปไม่ได้ ซึ่งชีวิตรอบข้างทุกวันก็พิสูจน์ธรรม บังคับบัญชาไม่ได้เลย ไม่มีใครอยากทุกข์ก็ทุกข์กันมากมายตามเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟัง นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราประมาทไม่ได้เลย เพราะเหตุว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่ากระทำกรรมอะไรไว้มาก ชาตินี้เราเห็นกรรมของคนอื่นได้รับโทษเพราะการกระทำนั้นๆ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 193


    หมายเลข 10437
    3 ก.ย. 2567