แยกไม่ออก
ผู้ถาม ขอคำอธิบายเกี่ยวกับวิบากทางใจ
สุ. กุศล อกุศลทางใจไม่สงสัยเลยใช่ไหม
ผู้ถาม โดยปกติจะเข้าใจผิด เช่นโทสะเกิด บางครั้งก็คือว่าเป็นผลของกรรมของเราที่จะได้
สุ. อันนี้ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าขณะนั้นต้องเป็นกุศลหรืออกุศล ไม่ใช่วิบาก เวลาที่คุณสุกัญญาสงสัยเรื่องวิบากทางใจ ได้แก่จิตที่เป็นวิบากเกิดสืบต่อจากชวนจิตทางใจ ขณะนี้ที่กำลังเห็น จักขุวิญญาณเกิดแล้วดับไป มีวิบากที่เกิดต่อเป็นสัมปฏิจฉันนะ อันนี้เข้าใจได้ฉันใด เวลาที่เป็นโลภะ โทสะที่เป็นชวนจิตทางใจดับไปแล้วก็มีวิบากจิตเกิดขึ้น เมื่ออารมณ์นั้นเป็นปรมัตถอารมณ์
ผู้ถาม คือตทาลัมพนะที่เกิดต่อ
สุ. กิจรับรู้ต่อเท่านั้นเอง อารมณ์เดียวกันในวาระนั้นแล้วก็ดับไป มหาวิบาก ๘ สันตีรณะ ๓ ทำตทาลัมพนกิจ ๖ ทวาร จิตที่จะกระทำตทาลัมพนกิจคือวิบากจิตซึ่งเกิดต่อจากชวนะมีเพียง ๑๑ ประเภท
ผู้ถาม แล้วโดยสภาพธรรม เราไม่สามารถรู้ได้ใช่ไหม
สุ. ก็เหมือนจักขุวิญญาณดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนะเกิดสืบต่อ เรารู้ได้ไหม
ผู้ถาม ไม่ได้
สุ. เพราะฉะนั้นเวลาที่ชวนจิตดับไปแล้ว และก็วิบากจิตมีอารมณ์เดียวกับชวนจิตเกิดสืบต่อ ถ้าอารมณ์นั้นยังไม่ดับ เราก็รู้ไม่ได้
ผู้ถาม อย่างนี้ทางใจที่เราพอจะระลึกรู้ได้ก็คือลักษณะของเวทนาที่เกิด
สุ. แล้วแต่ จะรู้ลักษณะของจิตหรือลักษณะของเวทนา สภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่พอจะรู้ได้ ขณะนี้เวลาที่เห็น เรารู้ไม่ได้เลย แยกไม่ออกระหว่างการเห็นที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาดับไป และภวังคจิตเกิดคั่น ไม่มีสิ่งนี้เป็นอารมณ์ แต่มโนทวารที่เกิดสืบต่อมีอารมณ์เดียวกับสิ่งที่จักขุวิญญาณเห็นซึ่งก็ดับไปแล้วก็รู้ไม่ได้ แยกไม่ออก เหมือนอย่างทางกาย กำลังรู้แข็งทางกายปสาท กายทวารดับไปแล้ว ภวังค์คั่นด้วย และจิตที่เกิดทางใจสามารถที่จะรู้แข็งนั้นต่อจากทางกายทวาร เราก็รู้ไม่ได้ แยกไม่ออกว่าขณะนี้ที่แข็งกำลังปรากฏเป็นกายทวารวิถีหรือมโนทวารวิถีเพราะความรวดเร็วมาก
ที่มา ...