ท้าวสักกะ (๑) แสดงถึงคุณธรรม ซึ่งเป็นความอ่อนน้อม
แม้ในเรื่องที่เข้าใจว่าเล็กน้อยที่สุด คือ ในเรื่องสภาพจิตที่อ่อนโยน สภาพจิตที่อ่อนน้อม และที่ว่าเป็นเรื่องเล็ก เล็กจริงหรือเปล่า
ถ้ากำลังของอกุศลมีมาก แม้เพียงความอ่อนโยน หรือความอ่อนน้อม จะทำได้โดยง่าย หรือโดยยาก และท่านเป็นผู้ที่พร้อมที่จะยอมรับผิด ถ้าท่านผิด หรือว่าพร้อมที่จะขออภัยท่านผู้อื่นเวลาที่ท่านกระทำผิดไปแล้วหรือไม่ ในชีวิตประจำวันจริงๆ ก็จะเห็นสภาพการสะสมของอกุศลธรรมได้ว่า ท่านกระทำได้โดยยาก หรือว่าโดยง่าย
ถ้าท่านเริ่มเป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศลทั้งหลาย และเจริญธรรมที่เป็นกุศลธรรม ก็จะเป็นผู้ที่อ่อนโยน เป็นผู้ที่ง่ายขึ้นในการที่จะให้กุศลจิตเกิดแทนอกุศล
ในพระไตรปิฎกมีตัวอย่างที่แสดงถึงคุณธรรม ซึ่งเป็นความอ่อนน้อม โดยเฉพาะความอ่อนน้อมของท่านผู้หนึ่ง คือ ท้าวสักกะ หรือพระอินทร์ ผู้เป็น จอมเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แม้ว่าท่านจะเป็นถึงจอมเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหนือมนุษย์ แต่ความอ่อนโยน ความอ่อนน้อมของพระอินทร์จะมีมากกว่าปุถุชน คนธรรมดาที่เป็นมนุษย์อยู่ในโลกนี้หรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่ควรจะได้ทราบ เพื่อที่จะได้เปรียบเทียบคุณธรรมของผู้ที่เป็นถึงจอมเทพของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และพระผู้มีพระภาคเองก็ทรงแสดงคุณธรรมของพระอินทร์หลายประการ เพื่อที่จะให้พระภิกษุทั้งหลายประพฤติตาม
เพราะฉะนั้น การที่จะกล่าวถึงท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ไม่ใช่เพื่อที่จะให้ติดในผลของกุศลที่เป็นความรื่นรมย์ต่างๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่เพื่อที่จะให้ระลึกถึงคุณธรรมของท่านผู้ที่ได้อบรมกุศล และจะได้เป็นตัวอย่างให้ผู้ที่ใคร่จะขัดเกลาอกุศลให้เบาบาง ได้เห็นประโยชน์ของการที่จะอบรมเจริญกุศลทุกประการ แม้แต่ในเรื่องของความอ่อนโยน หรือความอ่อนน้อม
ข้อความใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อารัญญกสูตรที่ ๙ มีว่า
สาวัตถีนิทาน ฯ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ฤๅษีผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมมากรูปด้วยกัน อาศัยอยู่ในกุฎีที่มุงบังด้วยใบไม้ ในราวป่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทวดากับท้าวเวปจิตติจอมอสูร เข้าไปหาฤๅษีผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านั้นถึงที่อยู่ ฯ
ท้าวเวปจิตติเป็นเทวดาผู้เป็นหัวหน้าในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งมีทั้งหมดด้วยกัน ๔ ท่าน ส่วนท้าวสักกะหรือพระอินทร์นั้นเป็นจอมเทพชั้นดาวดึงส์ ซึ่งสูงกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะฉะนั้น ความประพฤติของท่านทั้งสองนี้ก็ต่างกัน
ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวเวปจิตติจอมอสูรสวมรองเท้าหนาหลายชั้น สะพายดาบ มีผู้กั้นร่มให้ เข้าไปสู่อาศรมทางทวารอันเลิศ เข้าไปใกล้ฤๅษีผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านั้น ห่างไม่ถึงวา
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทวดาทรงถอดฉลองพระบาทประทานพระขรรค์ให้แก่ผู้อื่น รับสั่งให้ลดฉัตร เสด็จเข้าไปทางอาศรมโดยทางทวารเข้าออก ประทับประคองอัญชลีนมัสการฤๅษีผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านั้น อยู่ใต้ลม ฯ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแล ฤๅษีผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านั้นได้กล่าวกะท้าวสักกะจอมเทวดาด้วยคาถาว่า
กลิ่นของพวกฤๅษีผู้ประพฤติพรตมานาน ย่อมจะฟุ้งจากกายไปตามลม ดูกร ท้าวสหัสนัยน์ พระองค์จงถอยไปเสียจากที่นี้ ดูกร ท้าวเทวราช กลิ่นของพวกฤๅษีไม่สะอาด ฯ
ถ้ายังเป็นมนุษย์อยู่ จะเห็นได้ว่า วันหนึ่งๆ ต้องอาบน้ำชำระร่างกายบ่อยๆ เพื่อที่จะได้ไม่มีกลิ่น แต่ว่าพระอินทร์ก็ยังประคับประคองอัญชลีนมัสการฤๅษีผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านั้น อยู่ใต้ลม ด้วยความเคารพ ซึ่งพวกฤๅษีก็เห็นว่า พระอินทร์คงจะทนกลิ่นมนุษย์ไม่ได้ ก็ขอให้พระองค์จงถอยไปเสียจากที่นี้
ท้าวสักกะตรัสตอบว่า
กลิ่นของพวกฤๅษีผู้ประพฤตพรตมานาน ย่อมจะฟุ้งจากกายไปตามลม ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าต่างก็มุ่งหวังกลิ่นนี้ เหมือนกับบุคคลมุ่งหวังระเบียบดอกไม้อันวิจิตรงดงามบนศีรษะ ฉะนั้น ก็พวกเทวดาหามีความสำคัญในกลิ่นของผู้มีศีลนี้ว่า เป็นกลิ่นปฏิกูลไม่ ฯ
เวลาที่ได้กลิ่นไม่สะอาด กลิ่นไม่หอม ท่านผู้ฟังมีปฏิกิริยา มีอาการอะไรบ้างหรือเปล่า ในขณะนั้นสภาพของจิตเป็นอย่างไร มีความเห็นใจ มีความเข้าใจ มีความอ่อนโยน มีความกรุณา มีความเมตตาบ้างไหม หรือว่ามีความรังเกียจ
สภาพของจิตทุกขณะละเอียดมาก ผู้ที่ไม่เจริญกุศลจริงๆ จะข้ามสภาพของจิตหลายอาการลักษณะ ซึ่งเป็นอาการลักษณะของอกุศลธรรมทั้งนั้น แต่ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานสามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง และมีปัจจัยที่จะให้กุศลจิตเกิดได้มากกว่าอกุศล เพราะว่าปัญญาสามารถเห็นชัดในสภาพธรรมที่เป็นอกุศลว่าเป็นอกุศล 7.49
ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ลักษณะของเทวดา หรือว่าบุคคลในเทวโลก ดูแล้วไม่ได้ต่างกับมนุษย์ เพียงแต่ว่าประณีตกว่า
ท้าวเวปจิตติจอมอสูรสวมรองเท้าหนาหลายชั้น สะพายดาบ มีผู้กั้นร่มให้
ถ้าไม่มีสิ่งที่คล้ายคลึงกับบุคคลในโลกมนุษย์ บนสวรรค์จะมีอะไร ก็ต้องไม่มีอะไรเลย ใช่ไหม แต่ว่ามีทุกอย่างตามฉันทะ ตามความพอใจ ตามอัธยาศัยที่สะสมมาที่จะต้องมีหลายๆ อย่างในโลกมนุษย์ ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะไปเกิดในสวรรค์แล้ว อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ก็ยังคงสมบูรณ์มากมาย แต่ว่าเป็นสิ่งที่ประณีตทั้งนั้น มิฉะนั้นแล้วก็จะปราศจากทุกสิ่งทุกอย่างหมด ไม่มีอะไรเลย เครื่องประดับเครื่องประกอบก็ต้องมากมายเพิ่มขึ้น และก็วิจิตรขึ้น
ถ้าพูดถึงเรื่องบุคคลอื่น ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นๆ เพราะว่าบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดท่าน ก็คงมีไม่มาก คือ ภายในครอบครัว และกว้างขวางออกไปถึงวงศาคณาญาติ เพื่อนฝูง แต่ยิ่งไกลออกไป ก็ยิ่งมีสัตว์ บุคคลต่างๆ มากมาย ซึ่งวิจิตรแปลกๆ ต่างๆ กันออกไปจนกระทั่งเมื่อยังไม่สามารถจะประจักษ์จริงๆ ได้ ก็ต้องอาศัยข้อความที่ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ อย่างเรื่องของสวรรค์ชั้นต่างๆ หรือเรื่องกำเนิดต่างๆ เป็นต้น ซึ่งท่านผู้ฟังก็ไม่สามารถที่จะคิดได้เลยว่า ในสวรรค์ชั้นต่างๆ นั้น มีเครื่องประดับอย่างไร มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร มีฉันทะ มีความพอใจอย่างไร แต่ว่าตราบใดที่กิเลสยังไม่ได้ดับหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท ก็ยังมีการกระทำที่ปรากฏในพระไตรปิฎกของบุคคลต่างๆ กัน เป็นเครื่องให้เทียบเคียงระหว่างกุศลธรรม และ อกุศลธรรม ไม่ว่าจะเป็นในโลกนี้ หรือแม้ในสวรรค์ ก็จะเห็นสภาพของกุศลธรรมหรืออกุศลธรรมที่จะแสดงให้เห็นว่า แม้ในที่นั้นๆ ก็ยังไม่หมดกิเลส เป็นปัจจัยให้เกิดการกระทำที่ต่างกันไป
ข้อความใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค สักกสังยุต ตติยเทวสูตรที่ ๓ มีว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี ฯ
ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีพระนามว่ามหาลี เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง เมื่อประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ได้ตรัสทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงเห็นท้าวสักกะจอมเทพหรือ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
แม้แต่เจ้าลิจฉวีก็ยังสงสัยว่า พระผู้มีพระภาคนั้นสามารถที่จะเห็นท้าวสักกะจอมเทพหรือไม่
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกร มหาลี อาตมาเห็นท้าวสักกะจอมเทพ ถวายพระพร ฯ
เจ้าลิจฉวีพระนามว่ามหาลีกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ผู้ที่พระองค์ทรงเห็นนั้น จักเป็นรูปเปรียบของท้าวสักกะเป็นแน่ เพราะว่าท้าวสักกะจอมเทพยากที่ใครๆ จะเห็นได้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
ยังไม่มั่นใจในพระปัญญา ในพระญาณของพระผู้มีพระภาคว่า สามารถที่จะเห็นท้าวสักกะจอมเทพได้จริงหรือเปล่า
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกร มหาลี อาตมารู้จักท้าวสักกะด้วย รู้ธรรมเครื่องกระทำให้เป็นท้าวสักกะด้วย และรู้ถึงธรรมที่ท้าวสักกะได้ถึงความเป็นท้าวสักกะเพราะเป็นผู้สมาทานธรรมนั้นด้วย
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน เป็นมาณพชื่อว่ามฆะ เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวมฆวา
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ให้ทานมาก่อน เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวปุรินททะ
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ให้ทานโดยเคารพ เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวสักกะ
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ให้ที่พักอาศัย เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าววาสวะ
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพย่อมทรงคิดเนื้อความได้ตั้งพันโดยครู่เดียว เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวสหัสนัยน์
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพทรงมีนางอสุรกัญญานามว่าสุชาเป็นปชาบดี เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวสุชัมบดี
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเสวยรัชสมบัติเป็นอิสราธิบดีของทวยเทพชั้นดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า เทวานมินทะ ฯ
ท่านผู้ฟังมีชื่อเดียวหรือหลายชื่อ ตามคุณธรรมของท่าน บางท่านอาจจะมีหลายชื่อ แล้วแต่ว่าท่านประกอบคุณธรรมอย่างไรบ้าง
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท ๗ ประการบริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ วัตรบท ๗ ประการเป็นไฉน คือ เราพึงเลี้ยงมารดาบิดาจนตลอดชีวิต ๑ เราพึงประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต ๑ เราพึงพูดวาจาอ่อนหวานตลอดชีวิต ๑
ใครทำได้บ้าง กุศลจิตที่จะเกิด ที่จะเป็นผู้อ่อนโยน วิรัติวจีทุจริตที่เป็นวาจาที่หยาบกระด้างทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจ แต่ว่าท้าวสักกะได้ประพฤติวัตรบท ๗ ประการ ซึ่งข้อหนึ่งมีว่า เราพึงพูดวาจาอ่อนหวานตลอดชีวิต ๑
ถ้าใครเป็นผู้ที่พูดวาจาไม่อ่อนหวาน ให้ทราบว่า นั่นเป็นอกุศลจิต เปลี่ยนได้ แก้ได้ อบรมใหม่ได้ ให้เกิดกุศลได้
ข้อความต่อไป
เราไม่พึงพูดวาจาส่อเสียดตลอดชีวิต ๑ เราพึงมีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทินอยู่ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการแจกจ่ายทานตลอดชีวิต ๑ เราพึงพูดคำสัตย์ตลอดชีวิต ๑ เราไม่พึงโกรธตลอดชีวิต ถ้าแม้ความโกรธพึงเกิดขึ้นแก่เรา เราพึงกำจัดมันเสียโดยฉับพลันทีเดียว ๑
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท ๗ ประการนี้บริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการดังนี้ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ ฯ
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
เทวดาชั้นดาวดึงส์ กล่าวนรชนผู้เป็นบุคคลเลี้ยงมารดาบิดา มีปรกติประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล เจรจาอ่อนหวาน กล่าวแต่คำสมานมิตรสหาย ละคำส่อเสียด ประกอบในอุบายเป็นเครื่องกำจัดความตระหนี่ มีวาจาสัตย์ ครอบงำความโกรธได้นั้นแลว่า เป็นสัปบุรุษ ดังนี้
ที่มา ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 690
นี่คือพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง แต่ว่าผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้วก็ไม่ท้อถอย เป็นผู้ที่อดทน ซึ่งท่านก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานกันมามากโดยอาศัยความอดทน อาศัยความเพียร แม้แต่พระอินทร์ก็สรรเสริญความอดทนไว้มาก
ใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค สักกสังยุต มีข้อความที่สรรเสริญความอดทนไว้มาก เช่น วิโรจนอสุรินทสูตรที่ ๘ มีข้อความว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จเข้าที่พักกลางวัน ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทวดากับท้าววิโรจนะจอมอสูร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้ยืนพิงบานพระทวารองค์ละข้าง ฯ
ลำดับนั้นแล ท้าววิโรจนะจอมอสูรได้ตรัสคาถานี้ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
เป็นชายควรพยายามไปจนกว่าประโยชน์สำเร็จ ประโยชน์งดงามอยู่ที่ความสำเร็จ นี้เป็นถ้อยคำของวิโรจนะ ฯ
ท้าวสักกะจอมเทวดาตรัสว่า
เป็นชายควรพยายามไปจนกว่าประโยชน์สำเร็จ ประโยชน์ทั้งหลายงดงามอยู่ที่ความสำเร็จ ประโยชน์อื่นยิ่งกว่าขันติไม่มี ฯ
ความสำเร็จจะมีไม่ได้เลยถ้าขาดความอดทน เข้าใจความหมายของความอดทนหรือยังว่า ความอดทนนั้นคืออย่างไร โดยเฉพาะสำหรับการอบรมเจริญปัญญา ขณะเมื่อครู่นี้อาจจะผ่านไปด้วยการหลงลืมสติ แต่ว่าอดทน คือ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจนกว่าความรู้จะเพิ่มขึ้น ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ใช่ว่าเพียงระลึก และไม่ใช่ว่า เมื่อระลึกแล้วรู้ทันที เป็นไปไม่ได้ ไม่มีปัญญาขั้นไหนซึ่งคมกล้าที่จะเกิดขึ้นเองโดยขาดการศึกษา ขาดการอบรม เพราะฉะนั้น ทางตาที่ว่ายากแสนยาก ก็จะต้องรู้ได้ในวันหนึ่ง ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น เริ่มระลึกได้ตามปกติในขณะนี้ พร้อมทั้งศึกษา คือ เริ่มเข้าใจ เริ่มรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า เป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้น ถ้ายังไม่เกิดความรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ศึกษาให้เข้าใจว่า ที่กำลังปรากฏนี้เป็นลักษณะสภาพธรรมชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง โดยไม่หลงลืมที่จะรู้อย่างนี้
ในขณะที่เห็น ยังเป็นความรู้ไม่ชัด ก็ระลึกเนืองๆ บ่อยๆ จนกว่าจะชินในลักษณะของสภาพธรรมที่เพียงปรากฏทางตาเท่านั้นเอง จนภายหลังปัญญาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น และรู้ความต่างกันของขณะที่เพียงเห็น กับขณะที่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร
นี่คือความอดทนอย่างยิ่ง อดทนพร้อมทั้งการศึกษา คือ การเริ่มรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏโดยไม่หลงลืม
ที่มา ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 692
การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่ได้มีแต่ในเฉพาะชาตินี้ที่เป็นมนุษย์ ที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี้สั้นมาก ในอายุกัป ในอายุขัยนี้ก็คงจะไม่เกิน ๑๐๐ ปี เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่ปรากฏในช่วงที่สั้นไม่ถึง ๑๐๐ ปี จะเป็นสภาพธรรมที่ให้ความจริงกับสติ และปัญญามากน้อยเท่าไร ก็ต้องแล้วแต่ว่าสติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม และศึกษารู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอย่างไร ก็สะสมความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ที่ได้ศึกษาแล้ว เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดการระลึกได้ และศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในชาติต่อไปอีก ซึ่งต้องเป็นภพชาติที่เป็นสุคติภูมิ
แม้เกิดแล้วในสวรรค์ ก็ไม่ใช่ว่าจะทิ้งไปเสียชาติหนึ่ง ไม่อบรมเจริญสติปัฏฐาน แต่ไม่ว่าทางตาจะเห็นอะไร ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะเกิดความนึกคิดวิจิตรอย่างไรในภพภูมิต่อไป ซึ่งเป็นสุคติภูมิ ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ซึ่งปรากฏอย่างนั้น สติก็จะต้องระลึกรู้ตามความเป็นจริง จึงจะถ่ายถอนความยึดถือความเห็นผิดในสภาพธรรมที่ปรากฏ เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้
ถ้าในชาติที่เป็นมนุษย์ ท่านสะสมมาที่จะคิดอย่างนี้ ที่จะประกอบด้วยมานะ ความสำคัญตน ความถือตน ความยกตนข่มผู้อื่นอย่างนี้ หรือประกอบไปด้วยความตระหนี่อย่างนี้ ซึ่งความตระหนี่ มีทั้งตระหนี่ในวัตถุสิ่งของซึ่งเป็นลาภ หรือบางท่านตระหนี่ถึงกับคำสรรเสริญ จะสรรเสริญบุคคลที่ควรแก่การสรรเสริญก็ไม่ได้ เพราะความตระหนี่แม้ในคำสรรเสริญ ตามความเป็นจริง ตามกิเลสซึ่งมีมาก และมีลักษณะต่างๆ กันที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
หรือว่าจะเป็นความริษยา ความหวงแหนในลักษณะอาการต่างๆ ในภพหนึ่งในชาติหนึ่งก็ต่างกันไป ซึ่งสติจะต้องระลึกรู้อย่างละเอียด และปัญญาจะต้องรู้ทั่ว จริงๆ จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ความไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ จึงจะถึงความสมบูรณ์ของปัญญาที่ คมกล้าเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น จนถึงขั้นที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม
ข้อความใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ทฬิททสูตรที่ ๔ พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าให้พระภิกษุทั้งหลายฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งท่านจะเทียบเคียงได้ว่า ถ้าท่านเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่อจากชาตินี้ ท่านยังจะมีความรู้สึก หรือว่าความนึกคิดเหมือนอย่างที่เคยเป็น เคยมี ในครั้งที่เป็นมนุษย์บ้างไหม ซึ่งจะไม่ต่างกันเลย เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากภูมินี้ที่เป็นโลกมนุษย์เป็นอีกภูมิหนึ่ง แต่การสะสมมาของกิเลสทั้งหลาย ของอกุศลธรรมทั้งหลาย ก็ยังมีปัจจัยเกิดขึ้น แม้อยู่ในภูมิอื่น
ใน ทฬิททสูตรที่ ๔ มีข้อความว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน เขตพระนครราชคฤห์ ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนครราชคฤห์นี้แล ได้มีบุรุษคนหนึ่งเป็นมนุษย์ขัดสน เป็นมนุษย์กำพร้า เป็นมนุษย์ยากไร้ เขายึดมั่นศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ครั้นเขายึดมั่นศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว เมื่อแตกกายตายไป ได้อุบัติยังสุคติโลกสวรรค์ คือ ความเป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ เทพบุตรนั้นรุ่งเรืองล่วงเทวดาเหล่าอื่นด้วยรัศมี และยศ ฯ
ในโลกนี้มีบุคคลซึ่งมีฐานะต่างๆ กัน บางคนเป็นคนขัดสน ยากไร้ และท่านผู้ฟังมีความรู้สึกต่อบุคคลเหล่านั้นอย่างไรบ้าง ตามความเป็นจริง เคยสังเกตจิตใจไหมว่า ถ้าพบบุคคลที่ขัดสน ยากไร้ ท่านรู้สึกอย่างไร มีความเห็นใจ มีความเมตตา มีความกรุณา มีความเป็นผู้มีตนเสมอกับคนที่ยากไร้ขัดสนไหม หรือว่ามีความยกตน ดูหมิ่นเหยียดหยาม เพราะว่าบางคนอาจจะคิดถึงชาติสกุล ฐานะ ยศ ความรู้ ทำให้เกิดความต่างกันกับคนอื่น โดยลืมว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา ที่ทำให้แต่ละคนแตกต่างกัน
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ในกาลครั้งนั้น พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์พากันยกโทษตำหนิติเตียนว่า ดูกร ท่านผู้เจริญทั้งหลาย น่าอัศจรรย์นัก ดูกร ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ยังไม่เคยมีมาเลย เทพบุตรผู้นี้เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน เป็นมนุษย์ขัดสน เป็นมนุษย์กำพร้า เป็นมนุษย์ยากไร้ เมื่อแตกกายตายแล้ว เขาอุบัติยังสุคติโลกสวรรค์ คือ ความเป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ย่อมรุ่งเรืองล่วงเทวดาเหล่าอื่นด้วยรัศมี และยศ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพตรัสกะเทวดาชั้นดาวดึงส์ว่า ดูกร ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่ายกโทษต่อเทพบุตรนี้เลย ดูกร ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย เทพบุตรนี้แล เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ยึดมั่นศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ครั้นยึดมั่นศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว เมื่อแตกกายตายลง จึงอุบัติยังสุคติโลกสวรรค์ คือ ความเป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ย่อมรุ่งเรืองล่วงเทวดาเหล่าอื่นด้วยรัศมี และยศ ฯ
สภาพจิตของเทวดาแต่ละท่านก็ต่างกัน พอเห็นเท่านั้น ยกโทษ กล่าวถึงเมื่อครั้งที่บุคคลนั้นยังเป็นมนุษย์ที่ยากไร้ ขัดสน ไม่ได้คำนึงถึงการที่บุคคลนั้นยึดมั่นในศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว เพราะฉะนั้น แต่ละท่านต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ เวลาที่พบปะกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด สภาพจิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลอย่างไร ถึงแม้ว่าจะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ยังอดที่จะเกิดการคิดเทียบเคียงไม่ได้ว่า ในอดีตบุคคลนั้นเคยเป็นคนที่ยากไร้ ขัดสน ลืมคิดถึงข้อที่ประกอบด้วยคุณธรรม คือ ความศรัทธาที่มั่นคงในศีล จาคะ สุตะ ปัญญาของบุคคลนั้น แต่พระอินทร์ตรงข้าม ท้าวสักกะจอมเทพตรัสกะเทวดาชั้นดาวดึงส์ว่า ดูกร ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่ายกโทษต่อเทพบุตรนี้เลย
เพราะฉะนั้น สภาพของจิตเป็นเรื่องที่ละเอียดมากจริงๆ ถ้าท่านเป็นผู้ที่จะขัดเกลากิเลสแล้ว ควรที่จะทราบว่า ขณะไหนเป็นอกุศล เป็นการเปรียบเทียบ เป็นการที่ยังมีมานะ
ที่มา ...