เวทนาคืออะไร มีลักษณะยังไง
สุ. เจตสิกมีหลายอย่าง เจตสิกทั้งหมดเกิดกับจิต เวทนาเป็นเจตสิกประเภทหนึ่งซึ่งต้องต่างกับเจตสิกอื่นๆ เพราะฉะนั้นเวทนาเจตสิกคือสภาพธรรมอะไร ที่ไม่ใช่เจตสิกอื่น นี่คือการเรียนชื่อ และก็จำชื่อได้ตอบได้ เป็นนามธรรมเกิดกับจิต แต่ว่าจริงๆ แล้วแม้แต่เวทนาจริงๆ มีจริงๆ เป็นธรรมจริงๆ เป็นนามธรรมจริงๆ แต่มีลักษณะอย่างไรที่ใช้คำว่าเวทนา ไม่ใช่คำอื่นซึ่งหมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริงอื่นๆ ที่เป็นเจตสิกอื่นๆ เพราะฉะนั้นเวทนาคืออะไร มีลักษณะยังไง อย่าข้าม ธรรมต้องเป็นความเข้าใจของเราเองนี่สำคัญที่สุด อาจจะมีคนบอกอะไรเยอะแยะ เป็นขันธ์ เป็นธาตุ เป็นอายตนะ อะไรก็ช่างเถอะ แต่ว่าเราเข้าใจลักษณะของเวทนาขณะนี้หรือยัง ถ้ายังไม่เข้าใจก็ยังไม่รู้ว่าเวทนาคืออะไร เพราะฉะนั้นเวทนาคืออะไร
ผู้ถาม ก็ตอบอาจารย์ไม่ได้เพราะว่าไม่เข้าใจ
สุ. แล้วตอนแรกที่ตอบว่าได้แก่ความรู้สึกไม่สบาย
ผู้ถาม ก็ตรงนั้นเป็นตัวอย่างหนึ่ง จริงๆ แล้วมันก็เกิดร่วมกับความสุข ความทุกข์ที่เกิดขึ้นทุกวันๆ
สุ. ถ้าเป็นความรู้สึกสบาย เป็นเวทนาหรือเปล่า
ผู้ถาม ก็เป็น
สุ. เพราะฉะนั้นจะตอบว่าเวทนาเป็นความรู้สึกที่ไม่สบายนี่ไม่ได้ เพราะว่าแม้แต่ความรู้สึกสบายก็เป็นเวทนา เพราะฉะนั้นเวทนาคืออะไร
ผู้ถาม ความรู้สึก
สุ. ถูกต้อง สภาพความรู้สึกเกิดกับจิตทุกขณะ มีจิตไหนบ้างที่ไม่มีเวทนา
ผู้ถาม คิดว่าไม่มี
สุ. ไม่มีก็คือไม่มี เพราะเหตุว่าเมื่อกี้ทราบแล้วว่าเวทนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ ทุกประเภท ก็แสดงว่าไม่เว้นเลย ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครมาคาดคั้นว่าไม่เกิดกับจิตอะไรบ้าง เราก็ต้องตอบว่าไม่มี เพราะเหตุว่าเวทนาต้องเกิดกับจิตทุกประเภท ทุกขณะ เป็นความรู้สึก ขณะนี้รู้สึกอะไร
ผู้ถาม ก็ตื่นเต้นที่คุยกับอาจารย์ออกไมค์
สุ. ความรู้สึกตื่นเต้นนี่ชอบไหม
ผู้ถาม ไม่ชอบ
สุ. สบายใจไหม
ผู้ถาม มันหลายอย่าง
สุ. เห็นไหมว่าแม้ความรู้สึกไม่สบายใจเพราะตื่นเต้น ขณะนั้นก็ไม่รู้ความจริงว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เพียงชื่อ เพราะฉะนั้นเวลาที่เพียงชื่อ เราอาจจะบอกได้ความรู้สึกไม่สบาย ตื่นเต้น ขณะนั้นเป็นเวทนาเจตสิกใช้คำว่าโทมนัสเวทนาก็ได้เพราะเหตุว่าเป็นไปทางใจ ไม่ใช่ทางกาย แต่ก็ไม่ได้รู้ลักษณะนั้นจริงๆ เกิดแล้วดับแล้ว แต่มีจริงๆ ด้วยเหตุนี้การฟังไม่ใช่เป็นเพียงให้เข้าใจชื่อ แต่ให้รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนั้น เพราะฉะนั้นยากไหม
ผู้ถาม ถ้าอาจารย์ตอบอย่างนี้ก็ไม่น่าจะยาก
สุ. ตกลงธรรมทั้งหมดไม่ยาก ฟังได้ แต่ที่จะรู้จริงๆ จนกระทั่งละความเป็นเรา ไม่ใช่เราเลยสักอย่างหนึ่งก็ต้องเป็นการอบรมที่จะต้องเห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะของเวทนา เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกันอย่างนามธรรมก็มีจิต และเจตสิกหลายประเภทเกิดกับจิตที่เกิด ๑ ขณะแล้วก็ดับไปอย่างเร็ว ไม่พอที่จะให้ปัญญารู้ความจริงเพราะความเร็วมาก แต่จากการฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็รู้ความจริงว่าไม่มีความจริงอื่นใดนอกจากความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นปัญญารู้ความจริง ละความไม่รู้คืออวิชชาซึ่งละยากเพราะว่ามีมากเหลือเกิน ต้องเป็นปัญญาที่รู้จริงๆ เท่านั้นจึงจะละอวิชชาได้ ด้วยเหตุนี้ที่เราจะพูดถึงเรื่องการละอวิชชาก็คือต้องเป็นเรื่องของความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากการฟังด้วยความแยบคาย ทำให้เข้าใจขึ้น
ที่มา ...