รู้จนทั่ว จนคลาย จนละ จนประจักษ์ จนหมดความติดข้อง
อ.วิชัย ความเคยชินปกติก็เป็นตัวเรา แต่จะให้มีความมั่นคง มีความเห็นถูกที่ว่าทุกอย่างเป็นธรรมถือว่าเป็นสิ่งที่ยาก
สุ. ไม่อย่างนั้นท่านพระสารีบุตรคงไม่ต้องถึง ๑ อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่วัน เดือน ปี แต่กัปป์ ก็คิดดู ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ขณะนี้มีธรรมจริงๆ เข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏหรือยัง แม้ขณะที่ฟังเริ่มมีความเข้าใจขั้นฟัง แต่ว่าประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏหรือยัง ความเป็นผู้ตรงก็คือว่ารู้ปัญญาไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย แต่รู้สิ่งที่เกิดแล้วปรากฏ ไม่ใช่ไปทำให้เกิดขึ้น สิ่งนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้น ใครทำ ถ้าจะทำ ความเป็นเรา หรือความเป็นตัวตน ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมคือจิต และเจตสิกซึ่งมีปัจจัยเกิด ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้นอกจากเหตุปัจจัย อดทนไหม ขันติ เป็นตบะอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีความอดทนก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ผู้ถาม ฟังอาจารย์กล่าวในวันนี้ก็ทำให้มีความรู้สึกว่าเรายังไม่รู้จักธรรมจริงๆ เลย ไม่ว่าจะได้เห็นหรือได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสซึ่งสิ่งนั้นคือธรรม มันไม่ใช่
สุ. ก็พูด จำแล้วก็พูดได้ว่านี่คือธรรม แต่ว่าลักษณะของธรรมมี แต่กำลังปรากฏให้ไม่ใช่เพียงเรียกหรือเพียงพูดว่าเป็นธรรม
ผู้ถาม จะต้องเป็นลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏที่แสนสั้นมากเลยใช่ไหม
สุ. ความจริงเป็นอย่างนั้น เพราะว่ารูปทุกรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะๆ กำลังเห็นกับกำลังได้ยินห่างไกลกันเกิด ๑๗ ขณะ รูปดับแล้ว
ผู้ถาม แล้วที่กล่าวว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นั่นก็คือธรรม แล้วคืออะไร
สุ. ก็จำได้ว่าเป็นธรรม เดี๋ยวนี้ก็พูดได้ ขณะที่เห็นก็พูดได้ว่าเป็นธรรม เรียกชื่อถูกด้วย ภาษาบาลีก็คือรูปารมณ ภาษาไทยก็คือรูปารมณ์ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือสิ่งที่ปรากฏทางตา ให้เข้าถึงลักษณะของธาตุชนิดหนึ่ง มีจริงๆ ถ้าใช้คำว่า “ธาตุ” เป็นของคุณสุกัญญาหรือเปล่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทำให้เกิดขึ้นหรือเปล่า แล้วทำไมปรากฏได้ เพราะมีจริง ถ้าเป็นธาตุที่มีจริง ใครก็ทำไม่ได้ ลักษณะก็เปลี่ยนไม่ได้ อย่างกำลังกระทบแข็ง ไม่มีใครสร้างธาตุแข็งเลย แต่มีแข็ง นี่คือความหมายของธาตุเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏแน่นอน แต่สิ่งใดที่ปรากฏ แสดงว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วปรากฏได้เพราะเกิดแล้ว และความจริงถ้าปัญญาถึงความสมบูรณ์ สิ่งที่กำลังกระทบแม้เหมือนกับว่าอ่อนหรือแข็งธรรมดาเกิดดับ เพราะฉะนั้นทุกอย่างเหมือนกันหมดเลย รูปทุกประเภทเหมือนกัน ไม่ได้มีความต่างกันเลย แต่ความไม่รู้มากจนกระทั่งฟังยังไงก็จะประจักษ์ความเกิดดับได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ด้วยความเป็นตัวตน แต่การที่จะประจักษ์การเกิดดับได้ ปัญญาต้องเจริญ ค่อยๆ คลายความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ และความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น ขณะที่กำลังฟังคลายความติดข้องในนามธรรม และรูปธรรมหรือเปล่า ไม่รู้สึกเลย เหมือนจับด้ามมีด แต่เป็นการคลายเพราะว่าให้เกิดความเข้าใจถูก ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรด้วยความเป็นตัวตน ถ้าบอกให้ไปทำอะไรด้วยความเป็นตัวตน ไม่คลาย มีความเป็นเราที่ได้ มีความเป็นเราที่ทำ ไม่ได้คลายความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏเลย เพราะฉะนั้นแต่ละครั้ง แม้เพียงขั้นการฟังก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้คลายความไม่รู้ และการติดข้องในสภาพธรรมที่ปรากฏ ๖ ทาง คือทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจโดยเป็นอนัตตาไม่ใช่เลือก ไม่ใช่ว่าทางตานี่อยากจะรู้ อยากจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่เลือกแล้ว แต่ขณะกำลังฟังค่อยๆ ซึมที่จะเข้าใจว่าสิ่งนี้มีจริงกำลังปรากฏเท่านี้เอง คือลักษณะของสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถจะปรากฏทางตาได้
ผู้ถาม ที่เราคิดว่าเป็นเราๆ ก็ไม่รู้
สุ. แน่นอน นี่เป็นเหตุที่เราพูดเรื่องอวิชชามากทีเดียวเพื่อให้รู้ว่าความไม่รู้มากแค่ไหน และกว่าจะรู้ กำลังแทรกหรือซึมเพื่อที่จะละอวิชชาซึ่งมากมายมหาศาล
ผู้ถาม ท่านอาจารย์กล่าวว่าลักษณะแข็งปรากฏ เราก็คิดตามว่ามีจริง ลักษณะแข็งอันนั้น แต่จริงๆ ก็เป็นความที่เป็นตัวเราทั้งนั้น
สุ. เพราะว่ายังไม่ได้รู้ลักษณะจริงๆ จนทั่ว จนคลาย จนละ จนประจักษ์ จนหมดความติดข้อง เพราะฉะนั้นวิปัสนาญาณแต่ละขั้น ไม่ใช่เพียงอันดับขั้นเดียวก็จะทำให้สามารถละกิเลสได้ แสดงว่าความหนาแน่นของความไม่รู้มากมายระดับไหน ขณะนี้ที่เคยถาม คุณสุกัญญามีตัวหรือเปล่า
ผู้ถาม ไม่มีตัวตนที่ถาม เพราะว่าจริงๆ แล้วก็ถามด้วยลักษณะสภาพธรรมคิดนึกขึ้นมาก็มีปัญหาแล้วก็ได้ถามออกไป แต่ว่ายังเป็นความเป็นตัวตนอยู่ตลอดเลย
สุ. ยังไม่ได้หายไปไหน
ผู้ถาม ไม่ได้หายไปไหนเลย
สุ. ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้ายังเป็นของคุณสุกัญญาอยู่
ผู้ถาม ใช่
สุ. ขณะนี้อะไรตรงไหนที่ตัวเป็นคุณสุกัญญา จำไว้เท่านั้น คิดว่ามี คิดว่ายังเหลืออยู่ แต่ว่าอะไรที่ตัวที่มีจริงๆ ที่จะกล่าวว่าเป็นคุณสุกัญญา ในขณะที่กำลังเห็นมีไหม มีสิ่งที่ปรากฏทางตากับเห็นเท่านั้น ส่วนหนึ่งส่วนใดของกายไม่ได้ปรากฏเลย นี่คือการเพิกอิริยาบถ ทุกขณะที่มีความเห็นถูก เข้าใจถูก จะมีลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าไม่มีเราตรงกับที่ว่าอนัตตา ไม่ใช่อัตตา เพราะฉะนั้นความเห็นที่ค่อยๆ ถูกขึ้นก็จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจตรงขึ้น ก่อนฟังมีตัวตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าไปไหนก็ตัวไป คิดนึกก็เรา ทุกอย่างก็เราหมด แต่หาจริงๆ ถ้าเป็นคนตรง ขณะนี้เดี๋ยวนี้ที่ว่าเป็นเรา เป็นร่างกายของเรา เป็นตัวของเรา ลองบอกมาสักอย่างหนึ่งว่าอะไร มีอะไรที่จะให้กล่าวอย่างนั้น ไม่มี ยังหลงว่ามี นี่คือความไม่รู้ แต่จะหมดไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ค่อยๆ รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งเกิดแล้วดับนี้เป็นสัจธรรมเป็นทุกขอริยสัจจ
ผู้ถาม เวลาท่านอาจารย์ถามว่าอะไรที่เป็นตัวเรา ตอบไม่ได้
สุ. เพราะอะไร
ผู้ถาม แต่จะให้คิดว่าไม่มีก็ไม่ได้
สุ. แล้วอยู่ที่ไหนที่ว่ามี และอะไรมี ถ้าเป็นความจริงต้องตอบได้ นี่คือความต่างกันของความคิด ความทรงจำด้วยความเห็นผิดด้วยการยึดถือสภาพธรรม ด้วยความไม่รู้ กับการที่จะค่อยๆ เห็นถูกขึ้นตามความเป็นจริง ตรง ต้องเป็นผู้ตรง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมว่ามีตัวตนตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า หรือว่าแสดงว่าทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายก็คือจิต เจตสิกซึ่งเป็นสภาพรู้ และรูปซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ซึ่งทั้งหมดเกิดดับ แต่ว่ารูปเกิดดับช้ากว่าจิต คือจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งจึงดับ ต้องรู้ว่าปัญญาของผู้ที่เริ่มศึกษาธรรมแม้ว่าจะอ่านหรือฟังก็ตาม อุปมาเหมือนกับจงอยปากยุงที่จุ่มลงในมหาสมุทร แต่ให้ทราบถึงความละเอียดความลึกซึ้งซึ่งจะอุปมาอะไรก็ได้ที่จะทำให้เราเห็นว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งจริงๆ สิ่งที่ปรากฏเหมือนธรรมดา แต่ว่าสำหรับผู้ที่หยั่งรู้ตรัสรู้สภาพความจริงนั้นไม่ใช่ธรรมดา สิ่งที่กำลังปรากฏเหมือนไม่เกิด ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงสามารถประจักษ์ถึงการเกิดดับของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าแม้แต่เพียงขั้นการฟัง ต้องพิจารณาสิ่งที่กำลังปรากฏเพื่อความเข้าใจในสิ่งนั้นด้วย ไม่ใช่เข้าใจเพียงเรื่องราว แล้วก็จะรู้ได้ว่าตรงตามที่ได้ทรงแสดงหรือเปล่า
ที่มา ...