การละ การสะสม
ผู้ถาม ทุกอย่างเกิดดับ และบังคับบัญชาไม่ได้ ห้ามไม่ได้ แต่เวลาเราศึกษาธรรมก็จะมีคำว่าต้องให้ละ
สุ. คงไม่ใช่ต้องให้ละ แต่ลักษณะที่เป็นอกุศลกรรม ควรละหรือควรเจริญ ให้พิจารณาเอง ให้เข้าใจเอง เพราะถึงบอกจะละๆ ไม่ได้ ไม่มีใครละได้เพราะการบอก ถ้าละได้จะบอกให้ทุกคนละ ก็เป็นไปไม่ได้เลย หรือแม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถที่จะบอกให้ท่านพระเทวทัตละความเห็นผิดที่สะสมมา
ผู้ถาม ฉะนั้นการที่จะละสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือจะเจริญกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นก็หมายความว่าต้องมีการศึกษามีปัญญาที่สามารถจะรู้ว่าควรหรือไม่ควรอย่างนั้นหรือ
สุ. เมื่อเป็นสภาพธรรม ผู้ที่ทรงตรัสรู้ก็รู้ว่าธรรมนั้นคืออะไร เป็นกุศลอย่างไร เป็นอกุศลอย่างไร แล้วก็ทรงรู้เหตุที่จะทำให้กุศลเจริญขึ้น และอกุศลลดน้อยลง รู้เหตุที่จะทำให้อกุศลเพิ่มขึ้น และก็กุศลน้อยลงด้วย นี่ก็เป็นเรื่องที่ได้รู้ความจริงของสิ่งนั้นเหมือนอย่างคนที่อาจจะมีความชำนาญทางโลกในเรื่องเพชรนิลจินดา เขาก็สามารถที่จะแสดงความต่างของเพชรมีตั้งหลายสี และก็ผู้ที่รู้จริงยิ่งกว่านั้นก็อาจจะรู้จนกระทั่งว่ากว่าจะเป็นอย่างนี้อย่างนั้นได้ก็จะต้องนานกว่ากันสักเท่าไหร่ แม้แต่เพียงรูปจะเป็นหิน จะเป็นภูเขา จะเป็นอัญมณีก็อยู่ในดินด้วยกันทั้งนั้น ทั้งทองทั้งเงินก็อยู่ในดินด้วยกันทั้งนั้น แต่ปัจจัยที่ต่างกันที่ทำให้ต่างกันไปก็ทำให้แม้แต่รูปธาตุก็ต่างกันฉันใดคือ ผู้รู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ลักษณะของนามธรรมคือจิต เจตสิกจริงๆ ก็สามารถที่จะรู้ถึงความเป็นมาเป็นไปของสภาพธรรมที่เกิดปรากฏแต่ละขณะได้ว่าสะสมมาอย่างไร พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ท่านพระอานนท์ว่าจากการที่ท่านเป็นพระโสดาบันที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน หลังจากนั้นแล้วจะเป็นพระอรหันต์ นี่ก็ทรงรู้เหตุปัจจัยที่แต่ละบุคคลสะสมมาซึ่งใครจะรู้ ถ้าไม่มีปัญญาระดับนั้น
ผู้ถาม ที่เราศึกษาธรรมที่มูลนิธิ คนจะถามบ่อยแล้วมาทำไม ฟังอะไรเยอะแยะ แต่ความจริงแล้วที่เรามาหมายความว่าสามารถได้ยินได้ฟังได้ข้อคิดอะไรหลายๆ อย่างทั้งหมดนั้นก็คือเอาไปไตร่ตรอง แล้วมันก็จะเกิดการละที่จะไม่ติดข้องได้ เป็นปัญญาลักษณะอย่างนั้นหรือเปล่า
สุ. คือเมื่อมาแล้วได้ประโยชน์อะไรหรือเปล่า ข้อสำคัญที่สุด ได้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจก็สงสัย ก็สนทนาได้เพื่อความแจ่มแจ้ง ธรรมยิ่งเปิดเผย ยิ่งรุ่งเรือง ไม่ใช่ไปแอบคิดสงสัย ไม่ถาม แล้วก็เชื่อเลยว่าจะเป็นอย่างที่เราคิด นั่นคือไม่ได้ฟังความเห็นของบุคคลอื่น และก็ไม่ได้ฟังข้อความที่ผู้อื่นศึกษา และอ่านมาจากพระไตรปิฎกหรือว่าความละเอียดต่างๆ เพราะฉะนั้นเรื่องของธรรมเป็นเรื่องตรง เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องประโยชน์ แต่ถ้าเป็นโทษก็คือว่าศึกษาโดยไม่ถูกต้องคือศึกษาโดยไม่พยายามที่จะเป็นผู้ตรงที่จะเข้าใจธรรมในเหตุในผล ซึ่งธรรมพร้อมที่จะให้ร่วมกันศึกษาพิจารณาในสิ่งซึ่งปัญญาของแต่ละคนสามารถที่จะเข้าใจได้
ผู้ถาม ที่บอกว่าทุกอย่างห้ามไม่ได้ บังคับบัญชาก็ไม่ได้ อยากจะดูหนังดูละคร แต่อะไรที่ทำให้เราละตรงนั้น
สุ. การสะสมขณะนั้นด้วย เฉพาะขณะนั้น แล้วถ้าขณะนั้นเราไม่ดูโทรทัศน์แต่เรารับประทานอาหารอร่อย
ผู้ถาม แต่ว่าคนนั้นไม่ดูโทรทัศน์ ละได้
สุ. ละจริงๆ หรือว่าเพียงไม่ดูด้วยความไม่รู้ และอยากไม่ดู ไม่ใช่ไม่อยากดู แต่อยากไม่ดู
ผู้ถาม ก็คืออยู่ที่ปัญญาใช่ไหม
สุ. ถูกต้อง
ผู้ถาม แล้วก็การสะสมสิ่งที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็คือยังสะสมอยู่ต่อไปใช่ไหม
สุ. แต่ละขณะที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง สะสมสืบต่ออยู่ในจิต ไม่ได้หายไปไหนเลย ถ้าเราเก็บของ เราเก็บไม่ดีก็ยังตกไปนอกกล่องบ้าง แต่ว่าเรื่องของจิต นามธรรมไม่มีสถานที่ กว้างใหญ่ไพศาลเท่าไหร่ก็ไม่จำกัดขอบเขตเลย ไม่ใช่รูป แต่ว่าลักษณะของชนิดนี้ซึ่งเกิดแล้ว อกุศลเกิดขึ้นแล้วขณะหนึ่งแม้ดับแล้ว กำลังของสภาพธรรมที่เกิดแล้วสะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป จึงใช้คำว่า “อุปนิสสย” จะเติมคำว่า “ปัจจัย” ก็ได้ เพราะเหตุว่าทุกอย่างที่เกิดต้องอาศัยปัจจัย ถ้าอกุศลที่เกิดแล้วบ่อยๆ ชอบยังไง ยังติดมาถึงชาตินี้ได้เลยว่าชอบอย่างนั้นเหมือนชาติก่อนๆ ที่ได้เคยชอบมาแล้ว ถ้าได้อ่านในชาดกก็จะเห็นได้ว่าที่พระวิหารเชตวันก็จะมีเหตุการณ์ต่างๆ มากมายเพราะเป็นที่ๆ ทรงประทับนานหลายพรรษา รวมทั้งวิหารบุปผารามด้วยก็ ๒๕ พรรษา เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พระวิหารเชตวันจะมากสักแค่ไหน เราอยู่ที่นี่กี่ปี ก็มีเหตุการณ์ที่มูลนิธิโน่นบ้างนี่บ้าง เหตุการณ์ต่างๆ ที่พระวิหารนั้นก็ยังได้มีการจดจำจนกระทั่งถึงจารึกให้ทราบว่าแม้จะผ่านไป ๒๕๐๐ กว่าปี สิ่งนั้นๆ ยังเป็นประโยชน์กับผู้ที่จะได้ยินได้ฟังได้รู้ถึงการสะสมของอุปนิสัยว่าใครก็ตามจะผ่านพระวิหารของเชตวันไปด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม บางท่านสามีภรรยาเดินทางไกลมาก็แวะดื่มน้ำอย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าพระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงถึงอดีตชาติว่าแต่ละคนสะสมมายังไง อย่างสามีคนหนึ่งก็เป็นคนที่ตระหนี่มากไม่ให้อะไรภรรยา ก็เห็นไหมว่าเราจะไปเปลี่ยนแปลงอัธยาศัยของคนนั้นได้ยังไง แต่พระธรรมที่ทรงแสดงจะทำให้เกิดปัญญาความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จากคนที่กำลังจะผูกคอตายก็เป็นคนที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมมีจริง การที่จะเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมก็เป็นไปได้แต่ต้องสะสม ปัญญาทุกอย่างจะไม่ได้เกิดขึ้นทันทีเลย ไม่ว่าจะเป็นวิชาอะไรก็ตาม จะเล่นดนตรี จะว่ายน้ำ จะทำอาหาร จะตัดเสื้อ จะอะไรก็แล้วแต่ วิชาการต่างๆ การแพทย์ด้วย หรือว่าสถาปัตยกรรมต่างๆ ทุกวิชา ต้องอาศัยการศึกษา การค่อยๆ เริ่ม ค่อยๆ อบรม ซึ่งแต่ละบุคคลจะได้สะสมมามากน้อยอย่างไร คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้แม้ตัวเอง สะสมความเห็นถูกมาแค่ไหน สะสมความเห็นผิดมาแค่ไหน ถ้าไม่ถึงกาลที่มีเหตุที่จะให้สิ่งนั้นปรากฏ ไม่ปรากฏเลย แต่ต่อเมื่อใดมีเหตุที่จะทำให้สิ่งใดเกิดขึ้นปรากฏ เกิดแล้วให้รู้ว่ามีเพราะการสะสมที่ได้สะสมมาแล้ว
ที่มา ...