ความจำ ความเข้าใจประกอบพร้อมกับปัญญา


    ผู้ฟัง อย่างนั้นรูปขันธ์ก็คือทั้งหมดเลย

    สุ. แน่นอน ไม่เว้นเลย รูปทุกรูปเป็นรูปขันธ์ แต่ว่าพระธรรมกว้างขวางละเอียดมาก ต่อไปก็จะพบคำว่าปิยรูป สาตรูป เพิ่มขึ้นมาอีกซึ่งไม่ได้หมายเฉพาะรูปเท่านั้น หมายรวมถึงสภาพธรรมใดๆ ก็ตามซึ่งเป็นที่ตั้งที่ยินดี เป็นความพอใจ มีลักษณะเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นที่ตั้งได้เหมือนกับลักษณะของรูป แต่ความจริงแล้วก็เป็นนามธรรมด้วย เพราะฉะนั้นปิยรูป สาตรูป ทุกอย่างซึ่งเป็นที่ตั้งของความยินดีความพอใจ เป็นปิยรูป สาตรูป ก็กว้างขึ้นมาอีก และก็อาจจะแคบลงไปถึงที่ว่าเฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นที่เป็นรูปารมณ์ เพราะเหตุว่าเป็นรูปที่มีรูปร่างสัณฐาน และก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาที่กำลังเป็นอารมณ์เฉพาะสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปารมณ์ เพราะฉะนั้นก็ต้องคิดถึงความละเอียดว่าไม่ใช่การคิดถึงว่าคน รูปร่างสัณฐานต่างๆ หรือว่าจำได้ว่าเป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ แต่เฉพาะส่วนที่กระทบจักขุปสาท และกำลังกระทบ และปรากฏในขณะนี้เท่านั้นที่เป็นรูปารมณ์ เสียงปรากฏ แต่ไม่ได้อาศัยจักขุปสาท แต่เสียงเป็นอารมณ์ของจิตที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นเสียงใดที่เป็นอารมณ์ที่จิตกำลังได้ยิน เสียงนั้นเป็นสัททารมณ์ ไม่ใช่รูปารมณ์ เพราะฉะนั้นความหมายก็แคบเข้ามา ถ้าใช้คำว่ารูปารมณ์หมายถึงสิ่งที่ปรากฏเฉพาะกับจักขุวิญญาณ และจิตที่รู้รูปารมณ์ที่ยังไม่ดับ ก็เป็นเรื่องๆ ที่สามารถเข้าใจได้เพราะว่าเป็นชีวิตจริงๆ จากการไม่รู้ ค่อยๆ รู้ และนี่สัญญาก็จะจำทุกอย่างพร้อมกับจิตที่เกิด จิตทุกประเภทที่เกิด จะต้องมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย และเจตสิกบางประเภทต้องเกิดกับจิตทุกประเภท ทุกขณะ สัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภททุกขณะ แต่ว่าเราจะรู้จักสัญญาของเราที่สะสมมาว่ามีความมั่นคงในความเข้าใจธรรมระดับไหน ถ้ายังไม่มีความเข้าใจอย่างมั่นคง และก็อยากจะให้หมดกิเลส เป็นไปไม่ได้ อยากจะให้สติปัฏฐานเกิดบ่อยๆ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าสัญญาที่สะสมมาจำอะไร ยังไม่ได้จำว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ แค่ปรากฏ แต่เราก็ยังคงจำว่าเป็นคน เป็นสัตว์เป็นวัตถุต่างๆ แต่ไม่ใช่หมายความว่าไม่ให้จำ ไม่มีใครไปทำอะไรสภาพธรรมได้เลย เพียงแค่คิดว่าจะทำถูกหรือผิด สภาพธรรมมีปัจจัยเกิดแล้ว ปรากฏแล้ว ดับแล้ว เกิดแล้ว ปรากฏสืบต่อ แล้วก็ดับไปอีก แล้วก็ปรากฏสืบต่ออยู่เรื่อยๆ แล้วระหว่างนั้นไม่ได้รู้ความจริงว่าสภาพธรรมเท่านั้นที่เกิดแล้วก็ดับ ไม่มีเราที่จะไปแทรกตรงไหนได้เลยทั้งสิ้น ถ้าเรามีความจำมีความเข้าใจประกอบพร้อมกับปัญญา สัญญาที่เข้าใจอันนี้ก็จะค่อยๆ สะสมไป เวลาที่ได้ยินได้ฟัง ความเข้าใจของเราก็เพิ่มขึ้น ขณะใดที่มีความเข้าใจถูกต้อง ขณะนั้นก็จะค่อยๆ คลายความไม่รู้ตามลำดับขั้น ถ้าเป็นขั้นฟัง ก็เพียงคลายความไม่รู้จากการที่ไม่เคยได้ฟังเท่านั้นเอง แต่สภาพธรรมขณะนี้ก็กำลังเกิดดับโดยที่ว่าไม่รู้ความจริงของแต่ละสภาพธรรม เพราะว่าต้องอาศัยปัญญาอีกระดับหนึ่งซึ่งเกิดเพราะมีปัญญาขั้นการฟังเป็นปัจจัย ถ้าปัญญาขั้นฟังไม่มี ก็ไม่มีทางใดๆ เลยที่จะเป็นผู้ที่สามารถจะรู้ความจริงซึ่งเป็นสัจจธรรมของสภาพธรรมได้


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 212


    หมายเลข 10783
    31 ส.ค. 2567