ญาณต่างๆ กับการที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
ผู้ถาม สิ่งที่กำลังปรากฏนั้น อะไรบ้างที่เป็นปรมัตถธรรม อะไรบ้างที่เป็นบัญญัติ
สุ. จิตเกิดดับเร็วที่สุด ลืมไม่ได้เลย แล้วก็เกิดดับสืบต่อโดยไม่ปรากฏการเกิด และการดับด้วย เช่น ในขณะนี้จิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยิน ไม่ใช่จิตคิดนึก คนละขณะแต่สืบต่อจนไม่ได้ปรากฏว่าจิตไหนเกิด และดับไปเลย ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรม จึงทำให้เข้าถึงพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขั้นฟังว่าจากการที่ทรงตรัสรู้จึงได้ทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริงโดยละเอียดที่จะให้ผู้ฟังค่อยๆ อบรมเจริญปัญญามีความเห็นถูกขึ้น แต่ว่าระดับปัญญาของผู้ฟัง ไม่ใช่ระดับที่จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เช่นแม้แต่จิตหนึ่งขณะเกิดจะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ อะไรบ้าง และแต่ละเจตสิกเป็นปัจจัยโดยสถานใดซึ่งต่างๆ กันไปนี่ก็แสดงให้เห็นความรวดเร็วว่าเพียงชั่วขณะหนึ่งซึ่งแสนสั้น พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงว่าจิตเห็นไม่ใช่จิตคิด และทรงแสดงความจริงว่าก่อนจิตเห็นจะเกิดขึ้น จิตที่เกิดก่อนเป็นอะไร กี่ขณะ จนกระทั่งถึงรูปที่มีอายุ ๑๗ ขณะจิต เกิดเมื่อไหร่ และดับเมื่อไหร่ ซึ่งขณะนี้ไม่ได้ปรากฏว่าดับเลยใช่ไหม รูปที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้นการฟังก็ต้องมีความเข้าใจว่า เราเริ่มที่จะเข้าใจว่าเราอยู่ในโลกของการไม่รู้ความจริงเลยของสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏมีจริงเกิดด้วยปรากฏด้วยแต่ดับ นี่เราอยู่ในโลกของการรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏหรือเปล่า นี่แสดงว่าเราไม่ได้อยู่ในโลกนั้น แต่เราอยู่ในโลกของความมืดเพราะอวิชชาคือไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เกิดดับทางตาสืบต่อรวดเร็วแค่ไหนจึงปรากฏเสมือนว่าเป็นคน แล้วก็กำลังนั่งหรือว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ ทั้งหมดเป็นเรื่องของความคิด และความจำ สัญญาเจตสิกเป็นสภาพที่จำ สัญญาจะเกิดกับจิตทุกขณะ และก็จำทุกอย่าง เพราะฉะนั้นขณะใดที่รู้ว่าขณะนี้เป็นอะไร นั่นไม่ใช่จิตแต่เป็นสัญญาเจตสิก และก็เกิดพร้อมจิตดับพร้อมจิตไปแล้วด้วยๆ เหตุนี้สิ่งที่ปรากฏในชีวิตประจำวันทางตาคือรูปนิมิตหรือจะกล่าวว่าสังขารนิมิตๆ ของสังขารซึ่งเกิดดับสืบต่อจนไม่ปรากฏว่าขณะไหน รูปไหนเกิดแล้วดับไป
เพราะฉะนั้นจะอยู่ในโลกของความทรงจำในสิ่งที่ปรากฏอย่างมั่นคง จำชื่อ จำเรื่องจำทุกสิ่งได้จากสิ่งที่ปรากฏจนฝันได้ถึงสิ่งที่ปรากฏ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราอยู่ในโลกของความไม่รู้มาก กว่าจะรู้ได้ต้องเป็นความเข้าใจ อย่าหวังอะไร ได้ยินคำว่าวิปัสสนาญาณ ได้ยินคำว่าอุทยัพพยญาณได้ยินคำว่าสังขารุเบกขาญาณ หรือญาณต่างๆ ใกล้หรือไกล กับการที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการศึกษาธรรมนี่ต้องเป้นผู้ตรง และจะได้สาระจากความเป็นผู้ตรงที่จะค่อยๆ เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงว่าความไม่รู้มากมายมหาศาล นิจสัญญาก็ติดตามมาในสังสารวัฏแสนนานจนกว่าจะเริ่มฟัง ก็เพียงจำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นเรื่อง แต่ว่าตัวจริงๆ ของธรรมจะต้องมีการฟังจนกระทั่งเป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งให้มีการระลึก คือสติเกิดรู้ตรงลักษณะด้วยความเข้าใจถูก อันนี้สำคัญที่สุด ด้วยความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมนั้นจนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจสี่ซึ่งเริ่มจากทุกขอริยสัจจ์ สภาพธรรมที่เกิดดับเป็นทุกข์ เพราะว่าใครก็ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของทุกขอริยสัจจ์ได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่ากำลังเห็น มีเพียงแต่สิ่งที่ปรากฏแก่จิตเห็นทางตา แต่ไม่ใช่เป็นจิตที่คิด เพราะฉะนั้นอย่างที่คุณสุกัญญากล่าวว่าอยู่ในโลกของความคิดมากมาย คิดจากสิ่งที่เห็น แม้ไม่เห็นก็ยังคิด และจำเป็นเรื่องเป็นราวได้ทั้งวัน นี่ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้รู้ความจริงว่าที่เห็นชั่วขณะที่มีสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับไป
มิฉะนั้นจะไม่เข้าถึงความหมายของคำว่าอนัตตา จิตไม่มีใครบังคับบัญชาได้เป็นนามธาตุที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยเมื่อเกิดแล้วต้องรู้ แล้วแต่ว่าจะรู้สิ่งใด เช่นขณะนี้ใครบังคับจิตเห็นไม่ให้เกิดไม่ได้ ใครจะบังคับจิตเห็นที่เกิดแล้วไม่ให้ดับไม่ได้ ใครจะบังคับจิตได้ยินไม่ให้เกิดไม่ได้เมื่อได้ยินเกิดขึ้น นี่ก็แสดงถึงความเป็นอนัตตา ด้วยเหตุนี้เราศึกษาเรื่องจิตที่กำลังมีในขณะนี้ เพื่อให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องจนกว่าจะถึงขั้นที่สามารถจะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ได้ แต่ต้องรู้ว่าจิตเป็นสภาพที่เกิดดับเร็ว และจิตหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นก็จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดสิ่งเดียว และสิ่งที่ถูกจิตรู้ใช้คำภาษาบาลีว่า “อารัมมณ” หรือ “อาลัมพนะ” เพราะฉะนั้นจิตเกิดเป็นสภาพรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้คืออารมณ์ในภาษาไทยแต่อารัมมณในภาษาบาลี จะมีจิตโดยไม่มีอารมณ์ไม่ได้ แต่ว่าจิตแต่ละประเภทก็มีอารมณ์เฉพาะของตนๆ เช่นจิตเห็นจะมีเสียงเป็นอารมณ์ไม่ได้
ที่มา ...