ไม่มีอะไรที่เหลือ
ผู้ถาม แต่เนื่องจากปรมัตถธรรมนี่เกิด และดับเร็วมากจึงรู้ไม่ได้ประการที่ ๑ ประการที่ ๒ สิ่งที่กำลังปรากฏส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นเรื่องราว เป็นเรื่องสมมุติบัญญัติ
สุ. เป็นเรื่องราวเพราะอะไร
ผู้ถาม เพราะจำ
สุ. เพราะจิตเกิดขึ้นคิดถึงเรื่องราว
ผู้ถาม ธรรมบางอย่างปรากฏแต่ไม่รู้ แต่ที่รู้นี่ก็คือเรื่องราวที่กำลังปรากฏ จะเข้าถึงตัวจริงของลักษณะ หรือตัวจริงของธรรมได้อย่างไร
สุ. จิตเป็นจิตไม่ใช่เรา จิตกำลังเห็นเพราะจิตเป็นสภาพรู้ ฟังอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังเห็นค่อยๆ เข้าใจเพราะสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาปรากฎเพราะมีธาตุชนิดหนึ่งหรือว่ามีสภาพธรรมชนิดหนึ่งกำลังเห็นสิ่งนั้น ไม่ใช่เรา ฟังจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจเห็นที่กำลังเห็น นั่นคือสติปัฏฐาน ไม่ต้องใช้ชื่อแต่ว่ามีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ และก็กำลังรู้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งนั้น ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ไม่ได้คิดใช่ไหม เป็นชื่อเป็นคำเท่านั้นแต่มีลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังเห็น
ผู้ถาม ในขณะใดก็ตามถ้ามีชื่อธรรมหรือเป็นชื่อของบุคคล เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นก็ไม่ใช่ธรรม
สุ. กำลังคิดตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีเราเพราะเป็นจิตแต่ละประเภท ขณะนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏ ฟังเมื่อวานนี้ ฟังวันนี้ ฟังต่อไปอีก ๑๐ ปี ฟังต่อไปอีก ๑๐ ชาติ ความเข้าใจของสิ่งที่ปรากฏจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งในเมื่อสามารถที่จะรู้ความต่างกันของนามธรรม และรูปธรรม ปัญญาก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นได้ สามารถจะรู้ว่านามธรรมไม่ใช่รูปธรรม เมื่อรู้อย่างนี้ นามธรรมอื่นในชีวิตประจำวันก็มี เช่น โกรธ ฟังมาแล้วว่าเป็นนามธรรม และก็เวลาที่ฟังน้อย พอโกรธเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นธรรมเพราะว่ามีความเข้าใจที่น้อยมาก แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้นว่าโกรธไม่มีใครต้องการให้เกิดเลย มีใครต้องการให้โกรธเกิดบ้างหรือเปล่า แต่โกรธเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะเข้าใจถึงความจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ไม่ใช่เฉพาะลักษณะที่โกรธ แต่ถ้ามีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นก็จะรู้ว่าตลอดชาติ แต่ว่าแต่ละชาติก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว ไม่มีอะไรที่เหลือ ตอนเป็นเด็กสนุกมาก คนที่ไปนมัสการสังเวชนียสถานที่อินเดียก็กลับมาแล้ว มีอะไรเหลือบ้างในขณะเห็นเดี่ยวนี้มีแต่สิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับ แล้วก็ขณะที่ได้ยินสิ่งที่ปรากฏทางตานี่ไม่เหลือแต่ว่ามีเสียงที่ปรากฏแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นโลภะติดข้องในสิ่งที่ไม่เหลือ ไม่มีอะไรเหลือเลย เพียงติดข้องในสิ่งนั้นที่ปรากฏ หรือว่าในขณะที่จิตคิดถึงเรื่องราวต่างๆ เท่านั้นเอง แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่าไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างจากไปเมื่อจิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ แต่แม้ขณะนี้เอง สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับ ไม่เหลืออะไรเลยจนกว่าจะเข้าใจความจริง จนกว่าจะประจักษ์แจ้งก็ค่อยๆ ฟังไปนี่คือการอบรม
ผู้ถาม ถ้าไม่เรียกชื่อแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นธรรม
สุ. ทุกคนต้องคิด ไม่ใช่ว่ามีคนตอบคนเดียว ถ้าไม่เรียกชื่อเลยแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นธรรม นี่เป็นเหตุที่ทรงแสดงธรรม เพราะพระองค์ทรงประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมด้วยพระองค์เอง โดยประการทั้งปวง แต่เมื่อจะทรงอนุเคราะห์บุคคลอื่นให้ได้รู้อย่างพระองค์จึงทรงแสดงธรรมซึ่งต้องอาศัยชื่อ ถ้าไม่อาศัยชื่อจะรู้ได้ยังไงว่ากล่าวถึงธรรมอะไรที่พระองค์ได้ประจักษ์แจ้ง คือทั่วหมดทุกอย่างทุกประการ และทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประกอบด้วยพระญาณ ที่สามารถที่จะทรงบัญญัติคำที่จะให้คนอื่นสามารถเข้าใจความหมายของคำที่ได้ยิน ว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างด้วย เพราะฉะนั้นไม่ใช่หมายความว่าจะไม่มีชื่อ แล้วก็จะรู้ธรรมได้โดยไม่ต้องอาศัยชื่อเลย แต่ตัวธรรมจะเรียกชื่ออะไร สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้จะเรียกชื่ออะไร
ที่มา ...