ธรรมสามอย่างเป็นไฉน
ผู้ถาม ประเภทไหนที่กล่าวว่ามีโทษมากคลายช้า
อ.อรรณพ ท่านแสดงเอาไว้ว่าโลภะมีโทษน้อยแต่คลายช้า ส่วนโทสะมีโทษมากแต่คลายเร็ว ส่วนโมหเจตสิกหรือโมหมูลมีโทษมากด้วย และก็คลายช้าด้วยๆ เหตุที่โมหเจตสิกเกิดกับทั้งโลภมูลจิต เกิดกับทั้งโทสมูลจิต ก็แสดงไว้ในพระอภิธรรม ในเรื่องต่างๆ เหล่านี้
สุ. ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่ได้ยินได้ฟัง แต่ยากที่จะรู้ว่าเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา และเราก็ชินหูกับคำว่า “โลภะ โทสะ โมหะ” มีใครไม่รู้จักสามชื่อนี้บ้าง คงไม่มี แม้ว่าจะได้ยินชื่อ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ก็ยังไม่ได้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไรก็ตาม เพื่อให้เข้าถึงความจริงว่าสิ่งนั้นๆ เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งไม่ใช่เรา แม้ว่าจะฟังหลายปีก็ยังเป็นเรา แสดงว่าไม่พอ การไตร่ตรอง การเข้าใจธรรมของเรายังไม่พอที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ด้วยเหตุนี้ก็ต้องฟังต่อไป และก็จะฟังเรื่องซ้ำๆ แล้วก็ชื่อซ้ำๆ แต่ซ้ำครั้งหนึ่งก็ทำให้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละร้อยจนกว่าจะเป็นความมั่นคง แม้แต่ข้อความที่กล่าวถึงโทษของโลภะ โทสะ โมหะ ก็ต่างกัน แม้ว่าโลภะก็เป็นอกุศล โทสะก็เป็นอกุศล โมหะก็เป็นอกุศล แต่โลภะไม่ใช่โทสะ โมหะ โมหะก็ไม่ใช่โลภะ โทสะ
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการที่จะเข้าใจสภาพธรรมยิ่งขึ้นอาศัยการฟังแล้วก็พิจารณาเข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้วเราต้องไปคิดถึงตัวหนังสือแล้ว ไปพยายามจำว่าสามอย่างอะไรโทษมาก อะไรคลายช้า อันนี้ก็คือว่าเราเพียงไปพยายามที่จะจำ แต่ถ้าเป็นความเข้าใจแล้วไม่ต้องไปจำแต่เป็นความเข้าใจ อย่างโทษมากในบรรดา ๓ อย่างที่จะพอเห็นได้ อย่างโทสะพอเกิดขึ้น ปกติธรรมก็ไม่เห็นมีการกระทำอะไรที่ผิดแผกไปจากชีวิตประจำวัน แต่พอโทสะเกิดขึ้น เริ่มแล้วใช่ไหม ผิดปกติไหม ทำอะไรก็ผิดปกติ สีหน้าก็ผิดปกติ ความรู้สึกก็อาจจะถึงกับร้องไห้ มีการที่ผิดแปลกไปจากธรรมดา ชอบไหม โทสะ ไม่มีใครชอบเลย แต่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นไม่ชอบสิ่งใด ย่อมเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ดี เพราะฉะนั้นก็เห็นโทษของโทสะว่าโทสะมีโทษมาก จนกระทั่งสามารถที่จะทำให้มีการเบียดเบียนได้ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลกรรมทางกาย ทางวาจาก็มาจากโทสะ เพราะเหตุว่าการฆ่า ถ้ายังมีความเมตตา คนที่ชอบคนที่รัก ขณะที่กำลังพอใจสิ่งนั้น จะทำลายสิ่งนั้นไหม ก็ไม่ทำลาย
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ชีวิตวันหนึ่งๆ ก็มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นเป็นอกุศลประเภทต่างๆ ตามกำลังของอกุศลนั้นๆ ในขณะนั้น เพราะว่าโกรธโดยไม่ฆ่าก็มี โดยไม่มีการประพฤติทางกาย ทางวาจาที่ไม่ดีก็มี แต่ก็ต้องเห็นจริงๆ ว่าเวลาที่โทสะเกิด ไม่มีใครสบายใจเลย แล้วความไม่สบายใจของคนที่กำลังมีโทสะยังเป็นเหตุที่จะให้คนอื่นไม่สบายใจต่อไปอีกด้วยกาย ด้วยวาจา เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าโทสะโทษมาก เพราะเหตุว่ามีการเบียดเบียนทางกาย ทางวาจาได้โดยการที่เป็นกายกรรม ฆ่าสัตว์ การที่จะถือเอาสิ่งของที่คนอื่นไม่ได้ให้เพราะไม่ชอบคนนั้นได้ไหม ก็ได้ เพราะถ้าเราชอบคนๆ นั้น เราจะไปเอาของๆ เขามาไหม ก็ไม่เอา แต่ขณะนั้นต้องมีความที่เป็นโทสะ ความที่ไม่พอใจในคนที่เราถือเอาสิ่งของๆ เขามา นี่ก็เป็นโทษที่มองเห็น
เพราะฉะนั้นเราต้องท่องไหมว่าโทสะนี่โทษมาก แต่ว่าวันหนึ่งๆ โทสะเกิดบ่อยหรือเปล่า วันนี้เกิดหรือยัง บางคนส่ายหน้าบอกยังไม่มี วันนี้ยังไม่มี แต่ว่าโทสะจริงๆ ก็มีหลายระดับ ตั้งแต่เป็นความโกรธ ความขุ่นเคืองใจเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งความขุ่นเคืองใจเกือบจะไม่รู้ตัวถ้าน้อยมาก แค่เห็นฝุ่นหรือว่ามีฝุ่นเยอะๆ รู้สึกว่าจะไม่ค่อยสบาย จะชอบไหม ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นความรำคาญใจนิดหน่อย เคยรำคาญอะไรที่ตัวไหม รำคาญผม รำคาญเล็บ แม้แต่ที่ตัวก็ยังมีความไม่พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ นั้น พระอรหันต์มีไหม ไม่มี พระอนาคามีก็ไม่มี แต่ผู้ที่ยังมีอยู่ก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของโทสะว่ามีอยู่หลายระดับ
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าแม้เป็นอย่างนั้น แต่ในวันหนึ่งๆ ก็ยังน้อยกว่าอกุศลอื่นคือโลภะ พอตื่นมาพอใจแล้วในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ ขณะไหน มีสิ่งใดที่ปรากฏ แล้วก็ขณะนั้นไม่เป็นกุศล ขณะนั้นให้ทราบว่าถ้าไม่ใช่เป็นอกุศลประเภทโทสะหรือโมหะ ขณะนั้นก็เป็นโลภะ มีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏด้วยความไม่รู้ๆ คือโมหะจะเกิดร่วมกับอกุศลทุกประเภท แต่ในขณะนี้เราจะกล่าวถึงความต่างกัน และโทษที่ต่างกันของโลภะ โทสะ โมหะ ว่าโทสะที่เราเห็นว่ามีโทษมาก แต่ไม่มีการฆ่าทั้งวัน หรือว่าไม่มีการประพฤติทุจริตทั้งวัน ก็มีเฉพาะกาลที่อกุศลที่เป็นโทสะเกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้นแม้ว่าโทสะมีโทษมากก็คลายเร็ว เพราะเหตุว่าไม่ได้อยู่เป็นประจำเหมือนกับโลภะซึ่งเกิดอยุ่เหมือนกับเจ้าของบ้าน นานๆ ก็จะมีแขกอื่นมา กุศลบ้างหรือว่าประเภทอื่นบ้าง แต่ว่าจะให้เจ้าของบ้านออกไปจากบ้านยากไหม ใครจะไปทำให้เจ้าของบ้านซึ่งครองบ้านมานานแสนนานออกไปจากบ้านได้
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าอกุศลทั้งหลายก็อยู่เป็นประจำ และก็มีโทษตามลำดับ อย่างโทสะนี่ก็เห็นแล้วว่ามีโทษมาก และก็คลายเร็วกว่าเพราะเหตุว่าไม่ได้เกิดบ่อยๆ เหมือนอย่างโลภะซึ่งพอเกิดขึ้นไม่มีใครเห็นว่าเป็นโทษ ลองดูดอกไม้สวย เป็นโทษอะไรหรือเปล่า ขณะที่พอใจ ทุกคนก็พอใจ มีใครบ้างที่ไม่พอใจในสิ่งที่น่าดู แต่ไม่เห็นโทษเลย เพราะฉะนั้นลักษณะของโลภะก็มีโทษน้อย ขณะใดที่ไม่มีการประพฤติทุจริตเพราะโลภะ ขณะนั้นจะไม่เห็นโทษของโลภะ
แต่ว่าเวลามีการประพฤติทุจริตเพราะโลภะ ก็จะเห็นได้ว่าไม่ใช่สมโลภะคือโลภะที่เป็นปกติซึ่งทุกคนก็มี แต่ว่าเป็นการกระเพื่อมขึ้นจนกระทั่งถึงกระทำทุจริตกรรมด้วยโลภะได้ ขณะนั้นก็พอจะเห็นโทษของโลภะ แต่แม้กระนั้นคลายช้าไหมเพราะว่าเป็นประจำ เดี๋ยวเกิดๆ ก็เดี๋ยวเกิด ขณะใดที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แม้คิดนึกซึ่งเป็นปกติในชีวิตประจำวันก็เพราะโลภะ คิดถึงอะไร เกือบจะไม่รู้เลยว่าถ้าขณะนั้นไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ ขณะนั้นก็เป็นโลภะ แม้เพียงคำหรือเรื่อง แต่ละคำที่คิด พรุ่งนี้วันอะไร คิดอย่างนี้เป็นอะไร อกุศลหรือกุศล เพราะฉะนั้นก็จะเห็นตามความเป็นจริงได้ว่าสิ่งที่มีโทษน้อยกว่าโทสะก็คือโลภะ และก็คลายช้าด้วย
เพราะเหตุว่าเกิดบ่อยเป็นประจำ สำหรับสภาพธรรมที่เป็นโทษมาก และคลายช้าก็เห็นยากใช่ไหม เพราะเหตุว่าจะเห็นโทสะ จะเห็นโลภะ แต่ที่จะเห็นโมหะนี่ยาก แต่ให้รู้ว่าเป็นสภาพที่ต้องเกิดทุกครั้งที่จิตเป็นจิตที่ไม่ดี ถ้าเราจะใช้คำว่าเป็นจิตที่ไม่ดีแทนอกุศล เราจะเห็นได้ว่าไม่มีใครอยากจะมีจิตไม่ดีใช่ไหม น่ารังเกียจ แล้วเวลาที่จิตดีคือเป็นกุศลเกิดขึ้น เราก็รู้ว่าจิตนั้นเป็นจิตที่ดี และก็ไม่ใช่ของใคร มีความต้องการอะไรในจิตดีหรือติดข้องในจิตที่ดีหรือเปล่า นอกจากจะชื่นชมหรือเข้าใจถูกว่าจิตขณะนั้นเป็นจิตที่ดีต่างกับขณะที่จิตไม่ดี แต่ถ้าใช้คำว่า “กุศล” บางคนเป็นกุศลหรือเปล่า เป็นกุศลมากไหม ถ้าเปลี่ยนเป็นดีหรือเปล่า จิตขณะนั้นดีหรือเปล่า ไม่ได้สนใจ และก็จิตขณะนั้นดีมากหรือเปล่า ก็ไม่ได้สนใจอีก แต่จะสนใจว่าเป็นกุศลหรือเปล่า กุศลมากหรือเปล่า
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความไม่รู้มีมาก แม้แต่ในชื่อก็ยังสามารถจะล่อหรือลวงให้มีความติดข้องได้แม้เพียงชื่อที่ต่างกัน ขณะนี้จิตดีหรือเปล่า ถ้าเป็นจิตดีก็คือจิตดีใช่ไหม เป็นกุศลหรือเปล่า บางคนก็อาจจะพอใจในกุศลหลายๆ ระดับ เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องทาน (การให้) ก็พอใจที่จิตขณะนั้นเป็นกุศลประเภททาน บางคนก็อาจจะเป็นเหตุให้มีการกระทำทานมากขึ้นซึ่งก็ไม่ได้รู้ว่าแม้ขณะที่กระทำทานก็ไม่ใช่ความรู้ถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเป็นกุศลประเภทต่างๆ ทานบ้าง ศีลบ้าง แต่ว่าถ้าขณะนั้นไม่มีปัญญาที่เข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม ก็ยังมีความติดข้องในกุศลนั้นๆ ได้ ด้วยเหตุนี้การที่เราศึกษาหรือฟังเรื่องของกุศลหรืออกุศลบ่อยๆ เพื่อประโยชน์ให้เห็นจริงว่าอกุศลเป็นอกุศล ถ้ามีความเข้าใจในอกุศลจริงๆ แม้ว่ากุศลเกิดแล้วดับไปก็ยังสามารถที่จะเข้าใจจิตที่เป็นอกุศลซึ่งเกิดต่อจากกุศลได้ คือเป็นผู้ที่ละเอียดขึ้นเพราะรู้ว่าโลภะสามารถที่จะติดข้องได้ทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นเวลาที่มีการกระทำกุศลใดๆ ก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเป็นกุศลทุกขณะ แต่ว่าเมื่อกุศลจิตดับไปแล้วก็มีปัจจัยให้อกุศลจิตเกิดสืบต่ออย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ทันเห็น และไม่ทันรู้ด้วยว่าขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมจะทำให้เป็นผู้ที่ตรงจึงสามารถที่จะขัดเกลาอกุศลได้ มิฉะนั้นก็จะถูกล่อไปด้วยโลภะที่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนั้น
ที่มา ...