เดี๋ยวนี้เมื่อไหร่เป็นปรมัตถ์ เมื่อไหร่เป็นบัญญัติ


    ส่วนบัญญัติก็คือเป็นการรู้เรื่องจำรูปร่างสัณฐาน และก็เป็นคำ เป็นเรื่องราวต่างๆ แม้ขณะนี้ที่จะรู้ว่าขณะไหนเป็นปรมัตถ์ ขณะไหนเป็นบัญญัติ ก็เพราะสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฏฐาน มิฉะนั้นก็เป็นความรู้ขั้นเข้าใจเท่านั้นเอง เช่น ขณะนี้เห็นไม่ใช่คิดนึก หลังเห็นแล้วต้องคิดจึงจะรู้ว่าเห็นอะไร ซึ่งเร็วมากเลย ต่อกันเสมือนว่าพร้อมกันทันที หรือมีเสียงที่ได้ยินเป็นคำก็เหมือนกับว่าได้ยินคำ ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วต้องได้ยินเสียง และก็เสียงนั้นต่างกันจึงเป็นปัจจัยให้จิตรู้ความหมายของเสียงที่ต่างกัน เป็นความหมายของคำต่างๆ เป็นความหมายของคำต่างๆ ก็เพราะเสียงที่ต่างกัน นี่คือสภาพธรรมเกิดดับอย่างเร็วมาก เพราะฉะนั้นถ้าเรายังไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถ์ เราจะรู้ไหมว่าบัญญัติเมื่อไหร่ ขณะไหนเป็นบัญญัติ ขณะไหนไม่ใช่ปรมัตถ์ เพราะฉะนั้นทุกคำที่ได้ยินได้ฟังเป็นสิ่งที่มีจริงด้วยการตรัสรู้ถึงการเป็นพระอรหนัตสัมมาสัมพุทธเจ้าประกอบด้วยพระญาณต่างๆ ทรงแสดงสภาพธรรมโดยประการทั้งปวง โดยคำที่สามารถจะทำให้คนที่ได้ยินได้ฟังไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูกได้ ไม่ใช่เพียงขั้นเข้าใจธรรมหรือว่าเป็นขั้นฟัง แต่สามารถที่จะเข้าถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมได้ แต่ต้องรู้หนทางด้วย มิฉะนั้นเราฟัง เรารู้ว่าปรมัตถ์ไม่ใช่บัญญัติ แต่เดี๋ยวนี้เมื่อไหร่เป็นปรมัตถ์ เมื่อไหร่เป็นบัญญัติ ไม่ใช่ว่าเพียงขั้นเข้าใจ แต่เมื่อมีลักษณะที่เป็นปรมัตถ์เมื่อไหร่ เมื่อนั้นจึงจะรู้ขณะซึ่งไม่ใช่มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 222


    หมายเลข 11041
    31 ส.ค. 2567