ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะเป็นปัจจัยให้เกิดการระลึกได้
ถ้าถามว่าขณะนี้จิตคืออะไร ตอบได้ แต่เดี๋ยวนี้จิตอะไร แล้วก็เราเรียนเรื่องของอกุศลจิต ๑๒ ประเภทมาแล้วทั้งหมดเมื่อเช้านี้เป็นอกุศลจิตประเภทอะไร ก็เพียงแต่ชื่อใช่ไหมคะ เพราะเหตุว่าตราบใดที่ไม่รู้ลักษณะของจิตจะกล่าวได้ไหมว่าจิตขณะนั้นเป็นอะไร เรากล่าวเรื่องจิตที่เป็นผลของกรรมคือวิบากจิต ขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะนี้มี แล้วเป็นจิตอะไร สามารถที่จะรู้ลักษณะของจิตได้ไหม ถ้ายังไม่รู้ลักษณะของจิตก็จะมีความคิดเรื่องชื่อ เช่น เห็นขณะนี้เป็นวิบาก เป็นผลของกรรม ไม่มีใครสามารถที่จะชนะวิบากได้ นอกจากพระอรหันต์ซึ่งดับกิเลสหมด และปรินิพพานแล้ว วิบากจิตจะไม่เกิดอีกเลย ไม่มีผลของกรรมใดๆ ที่จะสามารถเกิดได้ แต่ตราบใดที่ยังไม่เป็นอย่างนั้น ใครชนะวิบาก ลองอ่านดูในหนังสือพิมพ์หรือว่าฟังดูจากเรื่องของคนอื่น แต่ที่สำคัญที่สุดแม้ตัวเองขณะไหนเป็นวิบากต้องละเอียดจนกระทั่งถึงว่าแม้ขณะนี้ไม่ใช่ชื่อวิบาก แต่เป็นจิตประเภทหนึ่งซึ่งมีจริง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป แต่ว่าเหตุปัจจัยที่จะให้เห็นเกิดขึ้นไม่ใช่มีแต่ปัจจัยเดียว ต้องอาศัยหลายปัจจัย อย่างหนึ่งที่เป็นปัจจัยคือกรรม เราจะเห็นได้ว่าแต่ละคนไม่สามารถจะรู้ขณะจิตต่อไปได้ ชีวิตขณะต่อไปจะเป็นอะไร มีเหตุที่ได้กระทำแล้วที่จะทำให้เกิดขึ้นแต่ว่าไม่รู้ แต่ว่าเราจะเห็นความละเอียด และการที่สิ่งนั้นๆ เกิดขึ้นได้เพราะกรรม แม้แต่จักขุปสาท รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ก็เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ไม่มีใครที่จะพ้นไปจากเหตุที่ได้กระทำแล้วเลย เพราะฉะนั้นการฟังคงจะต้องไม่ไปคิดว่าจะต้องจำมากๆ ชื่อมากๆ และก็พิจารณาแต่ชื่อ พยายามที่จะโยงไปหาอะไรเป็นเหตุเป็นผลหรือความคิดนึก แต่จะต้องรู้ว่าทั้งหมดเป็นธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ และก็ต้องเป็นผู้ตรงด้วย ตั้งแต่เช้ามาอวิชชามากไหม เพราะอะไร เพราะอกุศลมาก และลองคิดดูธรรมเป็นธรรม กว่าจิตจะเปลี่ยนจากความเป็นอกุศลเป็นกุศลแม้ขณะเล็กๆ น้อยๆ ก่อนฟังธรรมมีไหม ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฟังธรรม เพราะเหตุว่ากุศลเป็นสภาพของจิตที่ดีงาม กล่าวอย่างนี้เราก็เข้าใจได้ถึงความต่างกันของกุศล และอกุศล แต่ขณะไหนเป็นกุศล ถ้าไม่รู้ลักษณะของจิตจะตอบได้ไหม จึงได้มีคำถามอยู่เสมอว่าทำอย่างนี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ต้องการเพียงคำตอบ ซึ่งไม่ได้มีประโยชน์เพียงรับคำตอบ แต่จะต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นกุศล ที่เป็นจิต ที่เป็นธรรม ที่ไม่ใช่เราทุกๆ ขณะเป็นธรรมทั้งหมด นี่คือสิ่งที่จะต้องสะสมไปแต่ละชาติให้มีความมั่นคงว่าขณะไหนๆ ก็ตาม เมื่อไหร่ก็ตาม สิ่งที่มีจริงนั้นก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง จะทำให้เราไม่ไปติดในชื่อ แต่จะรู้ความจริงว่าอกุศลมีมากมายแค่ไหน เพียงในวันหนึ่งแล้วเกิดมาแล้วกี่วัน และก็ไม่ใช่ในชาติเดียว เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็เป็นโอกาสที่ประเสริฐสุดในชีวิต ซึ่งไม่มีโอกาสอื่นที่จะประเสริฐเท่า เพราะเหตุว่าสามารถจะทำให้เกิดปัญญา ความเห็น ความเข้าใจถูกต้องในลักษณะของสิ่งที่มีจริงซึ่งกว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ลองคิดดู แม้เพียงฟังๆ ด้วยความเข้าใจถูกหรือเปล่า ว่าฟังเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจอะไร เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้มีการระลึกได้ที่จะรู้ และเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ และในขณะที่กำลังฟังนี่ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ต้องไปหาที่อื่นไหม จิตไม่ต้องไปหาที่อื่นเลย เจตสิกไปหาที่อื่นก็ไม่ได้ ไม่อยู่ในหนังสือ ไม่อยู่ในเรื่องราวของคนนั้นคนนี้ที่เราอ่าน ที่เราฟังมา แต่ขณะนี้เองเป็นสภาพธรรมทั้งหมดที่เราได้ยินได้ฟังมา แต่ว่ากว่าจะรู้ว่าขณะนี้อะไรเป็นจิต อะไรเป็นเจตสิกก็ต้องอาศัยการฟังให้มีความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรม นี่ก็แสดงให้เห็นว่ากว่าปัญญาจะค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เข้าใจแม้ในคำที่ได้ยินได้ฟังซึ่งตรงกับลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วก็จนกว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏโดยการประจักษ์แจ้งในอริยสัจจธรรม นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วไม่ประมาท ไม่ใช่หมายความว่าบางคนจะรีบเร่งไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม
ที่มา ...