ปัญญาเห็นถูก สิ่งที่กำลังปรากฏว่า เป็นธรรมแต่ละอย่าง ไม่มีเรา


    ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าจริงๆ แล้วคือธรรมซึ่งเป็นจิต เจตสิก รูป ซึ่งเกิดแล้วดับไปหมดไม่เหลืออะไรเลย ถ้ายังไม่ได้เริ่มเข้าใจอย่างนี้ วันไหนจะละการที่ไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วการมีชีวิตอยู่ในโลกแต่ละวันก็เหมือนกับอยู่ในความฝันแต่ละวัน ชาตินี้ทั้งชาติก็คือความฝันว่าเราเป็นคนนี้ เราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ หายไปไหนหมดพอถึงชาติหน้าหรือว่าชาติก่อนที่แล้วมา เราไปทำอะไรบ้างที่ไหนก็ไม่รู้ จำก็ไม่ได้ ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจริงๆ ปัญญาที่เข้าใจถูก เห็นถูกว่าเป็นธรรม ถ้าเรายังห่วงคนอื่น สหายธรรมไปฟังอะไรที่ไหน ยังไง ขณะนั้นก็ยับยั้งไม่ได้ที่จะให้คิดอย่างนั้น แต่ต้องรู้ว่าขณะนั้นจริงๆ แล้วก็เป็นสภาพคิดเท่านั้นเอง มีท่านผู้หนึ่งท่านก็เข้าใจเรื่องสติปัฏฐาน แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่าท่านฟังวิทยุก็มีเสียงของดิฉันเพราะว่าท่านกำลังฟังรายการธรรม แล้วก็แทนที่จะเข้าใจตามคำที่ได้ยิน ท่านก็กลับนึกคิดด้วยความเข้าใจของท่านเอง อันนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้แน่นอนคือความจริงเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเมื่อเราได้ยินเสียง แล้วเราก็จะอยู่หรือรู้หรือว่าพิจารณา หรือเข้าใจเฉพาะเสียงที่เราได้ยินจะเกิดการคิดนึกเรื่องอื่นแทรกเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเรื่องที่คิดอาจจะเป็นเรื่องธรรมก็ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาจนกว่าทั้งหมดไม่ใช่เรา ด้วยเหตุนี้แต่ละคนก็ต่างกันไป ไม่ใช่ว่าจะต้องมีแบบฉบับว่าให้ทำอย่างนี้ ให้กลับมาเป็นอย่างนั้นหรืออะไรเลย แต่ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่าทั้งหมดๆ แล้วๆ ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึงเพราะว่าทรงแสดงไว้เพื่อที่จะอุปการะ ไม่ว่าขณะนั้นจะตกไปในเรื่องของอดีตหรือว่าอนาคต คิดถึงคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง แต่ว่าปัญญาสามารถที่จะเห็นถูกเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏว่าขณะนั้นเป็นธรรมแต่ละอย่างที่จะต้องสะสมไปจนกว่าจะไม่มีเรา


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 240


    หมายเลข 11659
    28 ส.ค. 2567