ไม่มีอะไรเหลือแม้สักขณะเดียว นอกจากความทรงจำ
ผู้ฟัง เข้าใจว่านี่เป็นลักษณะของสภาพธรรม แต่เราอดไม่ได้ที่จะเป็นโลภะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็คือว่ามีเราฟังธรรม ไม่ใช่ฟังด้วยความเข้าใจว่าเป็นธรรม นี่ต้องเห็นความต่างกัน เพราะว่าถ้ามีเราฟังธรรม เราจะเก่ง เราจะเข้าใจ เราจะเป็นอย่างนั้น เราจะเป็นอย่างนี้ หรือว่าเราอาจจะไปติดโดยไม่รู้ตัวว่าเราจะทำกุศลอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะว่ากุศลดีกว่าอกุศล นี่ก็คือเราฟังธรรม แต่ถ้าฟังด้วยความเข้าใจว่าไม่มีเราเลย ลืมไม่ได้เลย จนกว่าจะถึงการประจักษ์แจ้งว่าไม่มีเรา นี่คือคำสอนของพระอรหนัตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อละทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เวลาฟังเข้าใจขึ้นว่าไม่ใช่เรา นั่นเป็นการที่ถูกต้อง แต่ถ้าฟังว่ามีกุศล มีอกุศล และไม่อยากได้อกุศล อยากได้กุศล นั่นก็คือเรา โดยที่ไม่เข้าใจเลยว่าธรรมไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลก็เกิดขึ้นได้เพราะเหตุปัจจัยแล้วก็หมดไป แล้วก็กว่าจะถึงการที่จะเข้าใจถูกว่าแม้ขณะนี้ก็เหมือนฝัน เพราะอะไร ไม่มีอะไรเหลือแม้สักขณะเดียว นอกจากความทรงจำ จำว่าเป็นคนนั้นคนนี้ แต่จริงๆ ไม่มีใคร ไม่มีอะไรเลย ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง เมื่อประจักษ์แจ้งจริงๆ ก็คือว่าเกิดแล้วก็ดับไป ดับแล้วก็ไม่กลับมาเลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นธรรมอะไร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียงที่ได้ยินทางหู หรือจิตที่กำลังคิดเกิดแล้วก็ดับ ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียด ก็จะเห็นความจริง และค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเหมือนเครื่องพิสูจน์ว่ามีความเข้าใจธรรมเพียงพอหรือเปล่า อย่างที่ได้ฟังแล้วก็อดโลภไม่ได้ นี่คือยังมีความเป็นเรา ทั้งๆ ที่โลภะก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดแล้วก็หมดไป ขณะที่เห็นก็ไม่ใช่โลภะ ขณะที่ยินก็ไม่ใช่โลภะ นี่คือการฟังให้เข้าใจขึ้นว่าทุกอย่างเป็นธรรมแต่ละอย่าง
ที่มา ...